Custom Search

สุดฉงนชาวบ้านอเมริกันพบ วัตถุประหลาดลอยเหนือน้ำ ยังไม่มีผู้รู้อธิบายได้ว่าคือสิ่งใด!?

สิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกประหลาดยังคงมีให้เราค้นพบได้ในทั่วทุกมุมโลก เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยความสวยงามอันน่าอัศจรรย์ บวกกับวิวัฒนาการแห่งความแปลกใหม่ และเจ้าสิ่งนี้ก็อาจรวมอยู่ในกลุ่มสัตว์แปลกที่ไม่เคยมีใครเจอแบบนั้นก็ได้

ช่องยูทูบที่ชื่อว่า Disclose Screen ได้โพสต์คลิปที่พวกเขาถ่ายเจอสิ่งๆ หนึ่งรูปร่างหน้าตาประหลาด ลอยโผล่ขึ้นมาในทะเลสาบ Gaston County รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา

นี่มันคืออะไร หรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ไม่เคยเห็น

ความน่าประหลาดใจไม่ใช่แค่รูปร่าง แต่ที่แปลกจริงๆ คือภายในคลิปเผยให้เห็นว่าเจ้าตัวสีฟ้าความยาวประมาณ 1.2 เมตรนี้กำลังว่ายน้ำอยู่ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่เราอาจไม่เคยมีโอกาสได้เห็นกันมาก่อน นำไปสู่หลากหลายความคิดเห็นของชาวเน็ต

Stephanie Robinson “ฉันคิดว่ามันต้องเป็นศพนกยูงแน่นอน ตรงส่วนบนเป็นเหมือนกับเท้าของมัน คือมันกำลังลอยหงายท้องอยู่ และอาจมีอะไรบางอย่างลากมันไปใต้น้ำก็ได้”

Michael Eldridge “มันไม่ใช่ปลา มันเป็นแค่หุ่นบังคับ เพราะคุณจะมีโอกาสเห็นปลาขึ้นมาลอยเหนือน้ำได้ก็แค่ตอนมันตายเท่านั้น ฉันรู้ได้จากประสบการณ์การตกปลามาเกือบตลอดทั้งชีวิต”

Joanne B “แปลกจริงๆ ตอนแรกมันดูเหมือนกับถุงพลาสติก แต่เมื่อซูมดูใกล้ๆ ถึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาด ลองคิดดูว่าอาจมีคนเลี้ยงมันมา ก่อนที่จะเอาไปปล่อยในทะเลสาบแล้ว
มันก็เติบโตในที่สุด”

ยังมีอีกหลากหลายความคิดเห็นที่บอกว่ามันอาจเป็นปลาติดเชื้อทำให้กลายเป็นสีฟ้าใส หรือบางคนที่บอกว่ามันเป็นปลาคาร์พ?! แต่ปลาคาร์พสีฟ้านี่ก็คงจะแปลกไปหน่อยนะว่ามั้ย
ปลาคาร์พจะมีสีนี้จริงๆ หรือ?


คลิปสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาด จากสำนักข่าว Mirror 
(เนื่องจากคลิปต้นฉบับไม่สามารถดูได้ในประเทศไทย) 
การค้นพบในครั้งนี้ยังคงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป แต่ก็ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วนี่อาจเป็นการค้นพบสัตว์หน้าตาประหลาดที่มวลมนุษยชาติไม่เคยเห็นกันมาก่อนก็ได้นะ

พบ 5 บันทึกจากยุคอดีตที่อาจใช้ยืนยันว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกของเราจริง

บันทึกจากยุคอดีต…ที่อาจยืนยันได้ว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกเราจริง!


จานบินจากจดหมายเหตุชาวอียิปต์ : ในบันทึกจดหมายเหตุของชาวอียิปต์ได้บอกเล่าเรื่องราวการพบเห็นจานบินหรือ UFO ในช่วง 1,140 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงการปกครองของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ใจความว่า 

‘มีดวงไฟประหลาดปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ไม่มีศีรษะ และลมหายใจของมันมีกลิ่นเหม็น' ต่อจากนั้นในบันทึกยังเล่าด้วยว่า ‘หลายวันผ่านไป จำนวนของมันเพิ่มขึ้นมากมายบนท้องฟ้า'

ในบันทึกจดหมายเหตุยังเล่ารายละเอียดด้วยว่าวัตถุทรงกลมดังกล่าวบินโฉบไปมาทั่วบริเวณ ก่อนมันบินหายลับจากขอบฟ้าไป อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบว่าต้นฉบับของบันทึกดังกล่าวอยู่ที่ใด แต่มีข่าวลือว่าอาจอยู่ที่สำนักวาติกัน

ไข่มุกเหนือท้องฟ้า : ในหนังสือ Dream Pool Essays ที่เขียนโดย ‘เชน กั๋ว' บัณฑิตและนักดาราศาสตร์ชาวจีนในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งเขียนเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่มีวัตถุปริศนาที่เขาให้คำจำกัดความว่า ‘ไข่มุก' ขนาดใหญ่สว่างจ้าลอยเหนือท้องฟ้าเมืองหยางโจว เมื่อเปลือกนอกของวัตถุเปิดออก ก็เผยให้เห็นแสงสีแดงส่องสว่างไปไกลนับ 10 ไมล์ ราวแสงอาทิตย์

ดังนั้นชาวจีนจึงสร้างศาลาไข่มุก บริเวณริมทะเลสาบในเมืองหยางโจว เพื่อรับชมไข่มุกที่ปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง


การสู้รบเหนือนครนูเรมเบิร์ก : ที่เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ.1561 ชาวเมืองพบกับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์สีแดงฉาน ขณะเดียวกันก็มีวัตถุปริศนาทั้งทรงกลมและทรงแท่ง รวมไปถึงทรงกากบาท ที่มีทั้งสีดำและแดง จำนวนหลายร้อยลำลอยวุ่นวายอยู่บนท้องฟ้าเหมือนกำลังสู้รบกันอยู่ การสู้รบดำเนินต่อไปหลายชั่วโมง จนมีจานบินบางส่วนตกลงมาบนพื้นโลก

เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำไปเขียนในบทความข่าวของ ฮันส์ แกลซาร์ ที่กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับผู้มาเยือนจากต่างดาว

กองทัพสวรรค์เหนือนครเยรูซาเลม : ฟลาวิอุส โยเซพุส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับการพบเห็นจานบินหรือยูเอฟโอ ในช่วงการล้อมกรุงเยรูซาเลม ในช่วงศตวรรษที่ 1 โดยระบุว่ามีบางสิ่งลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ราวกับกองทัพแห่งสวรรค์ มีรถม้าศึก และเหล่าทหารชุดเกราะฝ่ากลุ่มเมฆลงมาและเข้าล้อมเมือง

หลังจากที่กรุงเยรูซาเลมล่มสลาย จึงมีตำนานเล่าสืบต่อมาว่า อาจมีมนุษย์ต่างดาวหรือกองทัพเทวทูตเข้าร่วมในการสู้รบครั้งนั้น

จานบินเหนือกรุงโรม : ติตัส ลิวิอัส หรือ ลิวี นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นจานบินหรือยูเอฟโอ ในช่วงฤดูหนาวอันโหดร้ายของปี 214 ก่อนคริสตกาลที่กรุงโรม 

โดยระบุว่าพบเห็นเรือผีส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า มีชาวเมืองพบเห็นมากมาย ก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นหลายอย่าง เช่น เห็นบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ที่สวมเสื้อคลุมหลายคน อยู่ใกล้ ๆ กับบริเวณเรือผี และพบดวงอาทิตย์ที่เหมือนจะเล็กกว่าปกติ ในยามค่ำคืนก็พบกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ถึงสองดวง
นอกจากนี้ยังพบเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบริเวณตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยมีวัตถุทรงจานกลมมากมาย เรืองแสงลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนเกิดเหตุการณ์ฝนสีเงิน หรือปรากฏการณ์เส้นผมนางฟ้า นักประวัติศาสตร์รายหนึ่งนำเหรียญทองแดงมาชุบกับน้ำสีเงินดังกล่าว

....เพียง 3 วันเท่านั้น สีเงินนั้นกลับหายไป และกลายเป็นสีทองแดงเหมือนเดิมอย่างน่าประหลาดใจ

ยูเอฟโอ โผล่บินเหนือศาสนสถาน นครเยรูซาเล็ม


ยูเอฟโอ โผล่! บินเหนือศาสนสถาน นครเยรูซาเล็ม
หลังจากที่มีข่าวการปรากฎตัวของวัตถุลึกลับ หรือ ยูเอฟโอโผล่ให้เห็น บริเวณประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอังกฤษ

แต่ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา  ที่นครเยรูซาเล็ม มีผู้ที่สามารถบันทึกภาพวัตถุประหลาด เป็นแสงไฟคล้ายลูกบอล เหนือแท่นบูชาของศาสนสถานของชาวอิสราเอล  ซึ่งในวิดิโอดังกล่าว เชื่อว่าน่าจะเป็นหลักฐานในการถกเถียงชิ้นล่าสุด ที่จะระบุว่า มนุษย์ต่างดาว มีตัวตนจริงหรือไม่
วัตถุทรงกลมดังกล่าว มีการเคลื่อนไหวเหนืออากาศเป็นจังหวะ เหนือศาสนสถาน ก่อนที่มันจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อเปรียบเทียบกับอีกมุมหนึ่ง จะเห็นภาพวัตถุลึกลับเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่า มันสามารถพุ่งขึ้น-ลง ได้อย่างรวดเร็ว สร้างความฉงนให้กับผู้ที่เห็นเป็นอย่างมาก

นิค โปป อดีตรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า หากเรื่องมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง ถือได้ว่า เป็นภาพวิดิโอที่เป็นหลักฐานอันน่าทึ่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่หากไม่ใช่  ก็ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และวัตถุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด เพราะมีการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วมากๆ

วัตถุประหลาด ลอยเหนือท้องฟ้า สหรัฐ เชื่อเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้คนใน 3 มลรัฐของสหรัฐฯ ถึงกับงงกับวัตถุรูปทรงประหลาดที่บินอยู่เหนือท้องฟ้า

ซึ่งหลายคนต่างก็สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว หรือ ยานลึกลับ(UFO)สักอย่าง โดยปรากฎเป็นแสงจ้า เมื่อดูคลิปของนายอัลเลน เอปลิง นักดาราศาสตร์สมัครเล่น ที่บันทึกภาพเอาไว้จากบ้านพักของเขาในมลรัฐเคนตักกี  ก็เห็นชัดเจนว่า มันมีรูปร่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนทั้งใน มลรัฐ เคนทักกี เวอร์จิเนียและเทนเนสซี กล่าวว่า วัตถุที่บินเหนือท้องฟ้ามีรูปทรงกระบอกคล้ายซิการ์

บินอยู่ที่ความสูง 100,000 ฟุต หรือ 2 เท่าของระดับความสูงของเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป กระทั่งชาวบ้านในละแวกนั้นต้องโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่เมื่อตรวจสอบจากสนามบินท้องถิ่นในไพค์ เคาน์ตี เผยว่าในบันทึกการบิน ไม่พบว่ามีเครื่องบินลำใดบินอยู่เหนือน่านฟ้าของเมืองในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด ทิ้งเป็นปริศนาที่ยังไร้คำตอบ

อากาศร้อนนัก ฝูงกระบือพร้อมใจลงปลัก ดำผุดดำว่าย แช่น้ำสบายใจ


ฝูงควายในโครงการกระบือพระราชทาน กว่า 30 ตัว ลงแช่ปลักคลายร้อน ดำผุดดำว่าย เกิดเป็นภาพน่ารักแก่ผู้พบเห็น ผู้ดูแลเผย แช่นานเป็นชั่วโมงกว่าจะยอมให้ต้อนขึ้น

         วันที่ 19 ที่ผ่านมานั้น Phitsanulok Hotnews.com รายงานว่า ผู้ดูแลควายไทย ในโครงการกระบือพระราชทาน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้พาฝูงควายกว่า 30 ตัว เล่นน้ำตามปลักรอบ ๆ มหาวิทยาลัย เพื่อคลายร้อน โดยเฉพาะบริเวณข้างตึกคณะเกษตรศาสตร์ ที่มีปลักเทียมเป็นลักษณะร่องน้ำ 

ซึ่งฝูงควายทั้งหมดมักจะลงไปแช่ตัวพร้อมกัน ดำผุดดำว่ายอย่างสดชื่น และใช้เวลานานเป็นชั่วโมงกว่าจะยอมให้ต้อนขึ้น เกิดเป็นภาพน่ารัก ๆ แก่ผู้พบเห็น

         นายผดุง บัวรอด อายุ 38 ปี ผู้ดูแลฝูงควาย กล่าวว่า ควายทั้ง 30 ตัว เป็นควายในโครงการกระบือพระราชทาน เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ควายไทยและแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน โดยได้รับมอบมาจากโครงการอนุรักษ์พันธุ์ควายไทย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้งยังได้รับบริจาคมาจากชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้ทางคณะได้ศึกษาและทำการอนุรักษ์พันธุ์ควายไทยไม่ให้สูญพันธุ์

         ผู้ดูแลฝูงควาย เผยอีกว่า ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ปีนี้ สภาพอากาศร้อนอบอ้าว
ตนต้องพาฝูงควายลงเล่นน้ำวันละ 3-4 รอบ จากปกติเพียงวันละ 1-2 รอบ โดยจะต้อนออกจากคอก ประมาณ 9 โมงเช้า
เพื่อให้ควายหาเล็มหญ้าสดกิน ก่อนจะต้อนเข้าคอกช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง และจะมาลงปลักตรงบริเวณข้างตึก
คณะเกษตรศาสตร์เป็นกิจกรรมสุดท้าย ซึ่งระยะหลัง ควายจะใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานมาก บางครั้งแช่น้ำเป็นชั่วโมง ก่อนจะยอมไปกินฟางและเข้าคอก บางครั้งวิ่งมาถึงก็กระโดดลงไปดำผุดดำว่าย บ้างก็ไปนอนแช่อยู่ริมตลิ่ง ซึ่งก็จะมีคนแวะเวียนมาถ่ายรูปเป็นประจำ เพราะควายฝูงนี้นิสัยเชื่อง ไม่ดุร้าย

ลุงใจกล้าไม่เชื่อเรื่องมนตร์ดำ อาสาเปิดหม้อดินลงยันต์ปริศนา หลังพบลอยกลางแม่น้ำระยอง



พบหม้อดินเผาปิดผ้ายันต์สีแดง ลงอักขระปริศนา ลอยกลางแม่น้ำระยอง ชาวบ้านผวาไม่กล้าเปิดดู ด้านลุงวัย 61 ขอพิสูจน์ ลั่นไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ เปิดออกมาพบแค่เทียน 2 เล่ม ก่อนโยนทิ้งลงแม่น้ำไป

          วันที่ 22 มีนาคม 2562 เฟซบุ๊ก หนังสือพิมพ์ใต้สันติสุข รายงานว่า วานนี้ (21 มีนาคม) เจ้าหน้าที่เทศกิจเทศบาลนครระยอง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบกลุ่มคนมาพักค้างแรมอยู่บริเวณริมแม่น้ำระยองตามศาลาริมน้ำ จึงรุดเข้าตรวจสอบ โดยขณะที่กำลังเดินสำรวจอยู่บริเวณหน้าสุสาน ถนนบางจาก ก็เจอหม้อดินเผาถูกปิดด้วยผ้ายันต์สีแดงลอยอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งในส่วนของผ้ายันต์มีการลงอักขระคล้ายภาษาเขมร มีน้ำตาเทียนหยดลงที่เนื้อผ้าไล่ไปตามขอบปากหม้อ ทำเอาชาวบ้านที่พบเห็นรู้สึกหวาดผวาไปตาม ๆ กัน

          ชาวบ้านบางราย กล่าวว่า เป็นหม้อที่เกิดจากการทำไสยศาสตร์มนตร์ดําของชาวเขมร ตามความเชื่อในพิธีกรรมที่จะมีการนำดวงวิญญาณมาใส่ในหม้อแล้วใช้ผ้ายันต์สีแดงปิด ต่อด้วยการหยดน้ำตาเทียนตามขอบปากหม้อ เหมือนเป็นการปิดตายก่อนนำไปถ่วงน้ำ บ้างก็ว่าเป็นแม่นาคที่ถูกกักขังวิญญาณเอาไว้ ด้วยความหวาดกลัว จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเปิดหม้อออกมาพิสูจน์

          จนกระทั่ง นายสมฤทธิ์ อายุ 61 ปี ได้อาสาขอเปิดหม้อใบดังกล่าว เนื่องจากเจ้าตัวไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ จากนั้นก็เดินไปเอาไม้มาเขี่ยหม้อที่ลอยในน้ำขึ้นมาบนฝั่ง และแกะผ้ายันต์ออก ท่ามกลางชาวบ้านที่ยืนมองอยู่ถึงกับเงียบไม่มีใครพูดอะไรและรอดูอย่างใจจดใจจ่อ

แต่เมื่อเปิดออกดูก็พบว่า ภายในหม้อมีเพียงเทียนสีเหลืองที่ใช้แล้ว 2 เล่ม เท่านั้น จากนั้นนายสัมฤทธิ์ก็ได้ทิ้งผ้ายันต์พร้อมกับหม้อลงไปในแม่น้ำระยองทันที

ค้นพบสุสานหมู่มัมมี่อายุเก่าแก่กว่า 2 พันปีในอียิปต์

กระทรวงโบราณคดีแห่งอิยิปต์ เปิดเผยว่า คณะนักโบราณคดีได้ค้นพบมัมมี่ 50 ร่าง ซึ่งมีอายุเก่าแก่ย้อนกลับไปในสมัยราชวงศ์ทอเลมี ช่วง 305-30 ปีก่อนคริสตกาล
ทีมนักโบราณคดีพบมัมมี่ชุดนี้ ซึ่งมีมัมมี่เด็กรวมอยู่ด้วย 12 ร่าง อยู่ภายในห้องฝังศพ 4 ห้องที่อยู่ลึกลงไป 9 เมตร ภายในสุสาน ทูนา เอล-เกเบล ในเมืองมินยา ทางตอนใต้ของกรุงไคโร
สุสาน ทูนา เอล-เกเบล
 ตั้งอยู่ในเมืองมินยา ทางตอนใต้ของกรุงไคโร
มัมมี่ที่พบบางร่างถูกห่อไว้ด้วยผ้าลินิน ขณะที่บางร่างอยู่ในโลงศพที่ทำจากหินหรือไม้ เจ้าหน้าที่ระบุว่ายังไม่ทราบว่ามัมมี่ที่พบเหล่านี้เป็นผู้ใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบุคคลสำคัญในยุคนั้น
เศษซากของโลงศพหินที่หลงเหลืออยู่
บนมัมมี่บางร่าง
ขณะที่มัมมี่บางส่วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าลินิน
ราชวงศ์ทอเลมีเป็นราชวงศ์กรีก ผู้ปกครองจักรวรรดิทอเลมีในอียิปต์ที่มีความรุ่งเรืองในช่วงระหว่าง 305 - 30 ปีก่อนคริสตกาล ประมุขชายทุกพระองค์จะมีพระนามว่า "ทอเลมี" ส่วนที่เป็นสตรีมักจะมีพระนามว่า
"คลีโอพัตรา", "อาร์ซิโนเอ" หรือ "เบเรนิเซ"

ราชินีแห่งจักรวรรดิทอเลมีผู้ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคือ คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลพาเธอร์ ซึ่งเรื่องราวความสัมพันธ์กับ จูเลียส ซีซาร์ และ มาร์ก แอนโทนี ของพระองค์ได้ถูกหยิบไปถ่ายทอดในบทละครและภาพยนตร์หลายเรื่อง การที่พระนางใช้งูพิษปลิดชีพพระองค์เองได้นำไปสู่การสิ้นสุดการปกครองอียิปต์ของราชวงศ์ทอเลมี
มัมมี่บางส่วนถูกบรรจุไว้ในโลงหิน
ในจำนวนมัมมี่ที่พบ 50 ร่าง 
มีเด็กรวมอยู่ด้วย 12 ร่าง
รัฐมนตรีด้านโบราณคดีของอียิปต์ระบุว่า หลุมศพที่เพิ่งค้นพบครั้งนี้อาจเป็นสุสานของครอบครัวชนชั้นกลางที่มีฐานะดี

เจ้าหญิงอโยธยาผู้มาเป็นราชินีแดนโสม ตำนานสองพันปีเชื่อมสัมพันธ์อินเดีย-เกาหลีใต้

นอกจากตำนานโบราณแล้ว ยังไม่พบหลักฐานอื่นที่ยืนยันว่าเจ้าหญิงสุรีรัตนามีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
ตำนานในบันทึกโบราณเรื่องหนึ่งของเกาหลีใต้ ซึ่งไม่สู้จะเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนัก กำลังได้รับการเล่าขานใหม่อีกครั้งหลังกาลเวลาผ่านไปนานเกือบสองพันปี โดยตำนานนี้เอ่ยถึงบรรพสตรีของสองตระกูลใหญ่ในเกาหลีใต้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นราชธิดาจากเมืองอโยธยาของอินเดีย ผู้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอภิเษกสมรสกับกษัตริย์แห่งแคว้นโบราณของเกาหลี
เรื่องราวของเจ้าหญิงสุรีรัตนา หรือ "ราชินีสกุลฮอ" เป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญไม่ถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่พบหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันว่าพระนางมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ตำนานนี้กลับมีความสำคัญต่อชาวเกาหลีใต้หลายล้านคนในปัจจุบัน ทั้งยังช่วยเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าระหว่างเกาหลีใต้และอินเดียให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกมาก
นางคิม จอง ซุก สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ เพิ่งเข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างสวนสาธารณะและอนุสรณ์สถานรำลึกถึงราชินีสกุลฮอ ในเมืองอโยธยาของรัฐอุตตรประเทศในวันนี้ (6 พ.ย.) หลังจากที่เธอและสามีคือประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ ได้เยือนอินเดียอย่างเป็นทางการมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
นางคิม จอง ซุก สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ เดินทางไปยังเมืองอโยธยาระหว่าง
การเยือนอินเดีย
ตำนานแห่งเจ้าหญิงหยกสีเหลือง
หนังสือโบราณ "ซัมกุก ยูซา" (บันทึกแห่งสามราชอาณาจักร) ซึ่งรวบรวมตำนานและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีเอาไว้ ชี้ว่าเจ้าหญิงสุรีรัตนาซึ่งมีชื่อเกาหลีว่า "ฮอ ฮวาง อ๊ก" เสด็จจากอาณาจักร "อายุทา" มายังคาบสมุทรเกาหลีเมื่อราวค.ศ. 48 และได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์คารัก ตระกูลของเจ้าผู้ครองนครรัฐกึมกวันกายา ซึ่งปัจจุบันคือเมืองคิมแฮในเกาหลีใต้
หลักฐานจากเอกสารภาษาจีนบางฉบับระบุว่า เทพเจ้าได้มาเข้าฝันกษัตริย์แห่งอโยธยา ให้ส่งราชธิดาวัย 16 ชันษาไปอภิเษกสมรสกับกษัตริย์คิม ซูโร โดยพระนางมีโอรสให้กับกษัตริย์ต่างแดนผู้นี้ถึง 10 พระองค์ด้วยกัน และทั้งสองต่างครองคู่อยู่กันจนสิ้นอายุขัยที่ยืนยาวถึง 150 พรรษา
ภาพในจินตนาการของเจ้าหญิงสุรีรัตนา 
หรือราชินีฮอ ฮวาง อ๊ก
ทั้งนี้ สันนิษฐานว่าชื่อสกุล "ฮอ" ของพระนางในภาษาเกาหลี น่าจะมาจากตัวอักษร "ซู" ในภาษาจีน ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า "สุ" ในชื่อสุรีรัตนา ส่วนชื่อตัว "ฮวาง อ๊ก" มีความหมายว่าหยกสีเหลืองหรืออัญมณีโทพาซ (Topaz) ซึ่งตรงกับความหมายของพระนามในภาษาบาลี-สันสกฤต
เดวิด แคนน์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีแผนกภาษาเกาหลีรายงานว่า เรื่องราวของเจ้าหญิงสุรีรัตนานั้นถือว่าเป็นเพียงตำนานปรัมปรา ซึ่งนักวิชาการไม่นับว่าเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ มีการนำตำนานนี้ไปสร้างเป็นละครและแต่งเป็นนิยายหลายเรื่องหลายรูปแบบ เนื่องจากตำนานที่คลุมเครือไม่ชัดเจนเปิดช่องให้มีการตีความและเสริมแต่งเรื่องราวได้อย่างไม่จำกัด
นักวิชาการชาวเกาหลีใต้บางคนสันนิษฐานว่า อาณาจักร "อายุทา" ที่เจ้าหญิงสุรีรัตนาจากมา อาจหมายความถึงอาณาจักรอยุธยาของไทยก็เป็นได้ แต่ก็มีข้อเท็จจริงที่แย้งว่า ในยุคนั้นอาณาจักรอยุธยายังไม่มีอยู่ ทั้งยังก่อตั้งขึ้นภายหลังยุคของพระนางกว่าพันปี
ส่วนเมืองอโยธยาในชมพูทวีป ซึ่งถือว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นที่ประสูติของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์นั้น ในยุคของเจ้าหญิงสุรีรัตนาผู้คนจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า "สาเกต" ไม่ใช่เมืองอโยธยาซึ่งเป็นชื่อเรียกขานในยุคหลัง
ราชวงศ์คารักคือต้นตระกูลของชาวเกาหลีหลายล้านคน
สกุลคิมสายเมืองคิมแฮ ซึ่งเป็นสายเลือดของราชวงศ์คารักที่สืบทอดมาจากกษัตริย์คิม ซูโร และราชินีฮอ ฮวาง อ๊ก จากแดนภารตะโดยตรง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสายสกุลคิมที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีและมีสมาชิกจำนวนหลายล้านคน ตำนานโบราณยังระบุว่า ราชินีสกุลฮอทรงเสียพระทัยที่ไม่มีราชบุตรผู้สืบชื่อสกุลของตนเอง กษัตริย์คิม ซูโร จึงโปรดให้โอรสสองพระองค์ใช้ชื่อสกุลฮอ ทำให้ยังมีชาวเกาหลีใต้ผู้ใช้นามสกุลนี้อยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน
นายคิม จอง พิล (ซ้าย) และนายคิม ฮุน ชุล (ขวา) บุตรชายของอดีตประธานาธิบดีคิม ยัง ซัม ผู้ล่วงลับ ต่างก็สืบเชื้อสายจากราชวงศ์คารัก
นักประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ชี้ว่า ทุกวันนี้สกุลคิมและสกุลฮอแห่งเมืองคิมแฮมีสมาชิกรวมกันกว่า 6 ล้านคน คิดเป็น 10% ของประชากรเกาหลีใต้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอดีตประธานาธิบดีคิม แด จุง และอดีตนายกรัฐมนตรีคิม จอง พิล ของเกาหลีใต้อีกด้วย
ปัจจุบันลูกหลานของทั้งสองตระกูลยังได้เก็บรักษาอับเฉา หรือหินถ่วงน้ำหนักในท้องเรือลำที่เจ้าหญิงสุรีรัตนาใช้ล่องมายังคาบสมุทรเกาหลีเอาไว้เป็นอย่างดี ทางการอินเดียยังรายงานว่า ในแต่ละปีมีชาวเกาหลีใต้เดินทางไปเยือนเมืองอโยธยาเป็นจำนวนมาก และตัวเลขผู้มาเยือนจากแดนโสมขาวกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสำนึกความผูกพันที่มีต่อบรรพสตรีจากชมพูทวีป
อย่างไรก็ตาม ชาวเกาหลีใต้หลายคนบอกว่า ตำนานราชินีสกุลฮอจากแดนภารตะเพิ่งจะมาเป็นที่เล่าขานกันหนาหูและผู้คนเริ่มให้ความสนใจกันมากเมื่อไม่นานมานี้เอง บางคนเคยได้ยินตำนานนี้ไม่กี่ครั้งในวัยเด็ก บ้างก็ว่าตำนานนี้เป็นเหมือนเรื่องตลกประจำครอบครัวที่เอาไว้ล้อเลียนลูกหลานที่มีผิวคล้ำว่าสืบเชื้อสายมาจากคนอินเดีย
"แม้หลายคนจะเชื่อว่าราชินีสกุลฮอมาจากดินแดนโพ้นทะเลทางใต้จริง ๆ แต่ก็มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ตำนานนี้ถูกแต่งเติมให้พิสดารและน่าสนใจมากขึ้น ก็ต่อเมื่อถึงยุคที่พุทธศาสนาหยั่งรากมั่นคงในดินแดนเกาหลีแล้วเท่านั้น" เดวิด แคนน์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีแผนกภาษาเกาหลีกล่าว
ตำนานช่วยกระชับสัมพันธ์อินเดีย - เกาหลีใต้ในยุคใหม่อย่างไร ?
ตำนานของเจ้าหญิงสุรีรัตนาผู้กลายมาเป็นราชินีสกุลฮอของเกาหลีนั้น ทำให้เกิดการลงนามในข้อตกลงปี 2000 ซึ่งทั้งสองประเทศให้คำมั่นว่าจะพัฒนาคิมแฮและอโยธยาให้เป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน
ประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้และภริยา ถ่ายภาพร่วมกับบรรดาผู้นำของอินเดีย ระหว่างเยือนกรุงนิวเดลี
ในปีต่อมา นักประวัติศาสตร์ของอินเดียและเกาหลีใต้กว่า 100 คน รวมทั้งผู้แทนรัฐบาลเกาหลีใต้ และเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำอินเดีย ต่างเข้าร่วมพิธีเปิดอนุสาวรีย์ของราชินีสกุลฮอบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสรายุ (Saryu) ในเมืองอโยธยา ทำให้หลังจากนั้นมีชาวเกาหลีใต้ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์คารัก เดินทางมาเยือน "แผ่นดินแม่" และเข้าสักการะอนุสรณ์สถานแห่งนี้กันจำนวนมาก
ในปี 2016 คณะผู้แทนของทางการเกาหลีใต้ ได้ยื่นเสนอแผนการต่อรัฐบาลของรัฐอุตตรประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาและขยายพื้นที่อนุสรณ์สถานของราชินีสกุลฮอออกไปอีก ซึ่งเป็นที่มาของการเยือนอินเดียโดยสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 4-7 พ.ย. นี้ และถือเป็นการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว โดยภริยาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ครั้งแรกในรอบ 16 ปี

ระหว่างการเยือนอินเดียของผู้นำเกาหลีใต้
เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมุน แจ อิน
และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้ลงนามในข้อตกลงทางการค้าทวิภาคี ซึ่งมุ่งเป้าจะเพิ่มมูลค่าของการค้าระหว่างกันให้เป็น 2 เท่า หรือ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 โดยข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งเกาหลีใต้เชื่อว่า อินเดียสามารถเป็นตลาดใหญ่
อีกแห่งหนึ่ง ที่จะช่วยถ่วงดุลและลดการพึ่งพาตลาดจีนของตนลงได้

ศ. คิม โด ยัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีศึกษาซึ่งประจำที่กรุงนิวเดลีของอินเดีย แสดงความเห็นว่า "ตำนานราชินีสกุลฮอเพิ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับในหมู่ชาวอินเดียเมื่อไม่นานมานี้เอง หลังจากความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเฟื่องฟูขึ้น"
"ไม่ว่าตำนานนี้จะเป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ หรือเป็นเพียงตำนานปรัมปราที่แต่งขึ้นก็ตาม แต่มันได้ช่วยปิดช่องว่างทางใจและจิตวิญญาณระหว่างผู้คนของสองประเทศ ทำให้ทั้งคู่ได้มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน" ศ. คิม กล่าว

ต้นไม้หมึกยักษ์แห่งออริกอน


ต้นไม้หมึกยักษ์แห่งออริกอน
ต้นไม้หมึกยักษ์ที่รัฐออริกอนนั้นที่จริงแล้วเป็นต้น 
Sitkga Spruce ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ห่างจากประภาคาร Cape Meares Lighthouse บนชายฝั่งรัฐ Oregon ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ต้นไม้ต้นนี้มีรูปร่างคล้ายหมึกยักษ์กลับหัว มีกิ่งก้านเติบโตคล้ายหนวดหมึกยักษ์สูงจากฐาน 50 ฟุต ไม่มีลำต้นกลาง 

แต่มีกิ่งขนาดใหญ่ 6 กิ่ง ซึ่งจะยืดออกจากฐานมากถึง 16 ฟุต ตามที่นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และผู้คนในพื้นที่เก่าแก่อย่างทายาทเผ่า Tillamook กล่าวว่ารูปร่างที่ผิดปกติของต้นไม้ชนิดนี้มาจากความพินาศของสายลม แต่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นได้เช่นกัน

เชื่อกันว่าต้นไม้หมึกยักษ์มีอายุสองร้อยถึงสามร้อยปี เมื่อชาวอินเดียแดงอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งมีทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าต้นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนหมึกยักษ์นั้น ชาวอินเดียแดงใช้เพื่อเก็บเรือแคนนูของพวกเขา และใช้พิธีกรรมอื่น ๆ อีกด้วย ก่อนหน้านี้ ผู้ร่วมพิธีกรรมเก่าแก่ริมชายฝั่งออริกอนจำต้นไม้นี้ได้ว่าเป็นหนึ่งใน “ต้นไม้ในพิธีกรรมของชาวอินเดียแดง” ซึ่งเขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งจากเผ่า Tillamook  ต้น Octopus นั้นได้รับการยกย่องเป็นพิเศษเพราะเป็นแหล่งรวมของพิธีกรรมเผ่า Tillamook ที่สำคัญ
ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ต้นหมึกยักษ์เคยได้ถูกเสนอชื่อในพิพิธภัณฑ์ริบลีส์เชื่อหรือไม่ โดยได้รับการอธิบายว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ทันสมัยของโลก โดยคาดว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุประมาณ 250-300 ปี.

อุโมงค์ต้นมะม่วงอายุกว่า 100 ปี ในประเทศอินเดีย



หลายครั้งที่เราเห็นอุโมงค์ธรรมชาติซึ่งเกิดจากการโน้มของต้นไม้ 2 ฝั่ง แต่วันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบกับต้นมะม่วงศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอินเดีย ที่มีขนาดใหญ่และโน้มกลายเป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่งดงาม

สำหรับอุโมงค์ธรรมชาติแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Kalambist รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย เป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่เกิดจากต้นมะม่วงศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านที่มีอายุกว่า 100 ปี เป็นอุโมงค์เดี่ยวๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนา


มะม่วง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เพราะการที่ภูมิภาคนั้นมีความหลากหลายทางพันธุกรรมและร่องรอยฟอสซิลที่หลากหลาย นับย้อนไปได้ถึง 25-30 ล้านปีก่อน  มะม่วงมีความแตกต่างประมาณ 49 สายพันธุ์กระจายอยู่ตามประเทศในเขตร้อนตั้งแต่อินเดียไปจนถึงฟิลิปปินส์
มะม่วงถือเป็นผลไม้ประจำชาติของอินเดีย

ฮิตาชิ ต้นไม้แห่งสวนโมอานาลูว์ ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในฮาวาย


ห่างออกไปประมาณ 5 ไมล์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโฮโนลูลู คือพื้นที่ของสวนสาธารณะส่วนบุคคลที่มีเนื้อที่ราว 24 เอเคอร์ สวนนี้มีชื่อว่า ‘สวนโมอานาลูว์’ สวนนี้เป็นที่รู้จักกันดีจากรางวัลงานเทศกาล Prince Lot Hula Festival เทศกาลที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนหนาแน่น โดยพวกเขามาเพื่อที่จะเข้าร่วมเวิร์คช็อปงานศิลปะและวัฒนธรรมกัน รวมไปถึงในเทศกาลนี้ยังประกอบไปด้วยบูธอาหาร ผู้ทำงานฝีมือที่ต่างเอาผลงานของตัวเองเข้ามาโชว์และสาธิตภายในงาน และยังรวมไปถึงแหล่งสถานที่สำคัญต่างๆที่ถูกจัดแสดงในเทศกาล

เทศกาล Prince Lot Hula Festival ได้รับแรงบัลดาลใจและการตั้งชื่อมาจากเรื่องจริงของเจ้าชายแห่ง Lot Kapuaiwa ผู้เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คาเมฮาเมฮา หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม ‘พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 แห่งฮาวาย’ ในคราที่พระเจ้าคาเมฮาเมฮายังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ได้จัดเทศกาลนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพิธีต้อนรับต่อแขกของตนเองที่เข้ามาเยี่ยมเยี่ยน โดยพระองค์ได้ให้มีการแสดงของนักเต้นฮูล่าให้มาสร้างความบันเทิงใจแก่แขกของพระองค์ ในขณะเดียวกันผู้เผยแผ่ศาสนาอย่างมิชชั่นนารีต่างก็มองว่าศิลปะการเต้นระบำฮูล่าเป็นการเต้นที่ไร้ศีลธรรมและยังไร้สาระในสายตาของพวกเขา สวนโมอานาลูว์จึงถือเป็นบ้านในความทรงจำในวัยเด็กของพระเจ้าคาเมฮาเมที่ 5 ที่ทรงรักและผูกพันมาอย่างยาวนาย ในวันนี้สวนแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นที่ตั้งของสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ เช่น เป็นที่พักของกษัตริย์, วิหารศักดิ์สิทธิ์, บ่อปลาคารฟ์และพืชพันธุ์ต้นไม้หายากมากมาย

ปัจจุบันสวนแห่งนี้เปิดสู่สาธารณชนและผู้ที่ต้องการมาเยี่ยมชมโดยมีการคิดค่าบริการในการเข้าชมสวนแห่งนี้ โดยรายได้จากจากการขายตั่วค่าเข้าสวนแห่งนี้ จะนำไปเป็นค่าบำรุงรักษาสวนแห่งนี้ แต่ว่าค่าใช้จ่ายหลักส่วนใหญ่นั้นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น ฮิตาชิ ได้เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนี้ เพราะเหตุผลอะไรน่ะหรือ? อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้นไม้ต้นใหญ่ที่ถูกปลูกและดูแลรักษาอยู่ในสวนแห่งนี้ก็เป็นได้

ต้นไม้ต้นนี้เต็มไปด้วยความสวยงามและน่ามอง ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นนี้เป็นต้นก้ามปู ที่มีอายุยาวนานมากกว่าหนึ่งร้อยปีหรือราวๆหนึ่งร้อยสามสิบปี มีรูปทรงร่มเงาที่โดดเด่น ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เติบโตขึ้นกลางสวนแห่งนี้ ใบของมันสามารถให้ร่มเงาครอบคลุมบริเวณพื้นที่ตรงนั้นไปกว่า 40 เมตร เมืองโฮโนลูลูได้แต่งตั้งให้ต้นไม้ต้นนี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์และเป็นต้นไม้ที่ได้รับการคุ้มครองจากชาวเมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ต้นไม้อายุยืนร้อยปีต้นนี้ยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของบริษัทที่ได้รับความรักมากมายของญี่ปุ่นอีกด้วย

ในปี 1973 บริษัทฮิตาชิได้ใช้ภาพและวิดีโอฟุตเทจของต้นไม้ต้นนี้ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘ต้นไม้ฮิตาชิ’ (Hitachi Tree) ให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของบริษัทพวกเขา เว็บไซต์ของพวกเขาได้ใช้ต้นไม้ต้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘comprehensive drive’ ของพวกเขา และเป็น ‘wide business range’
แห่งบริษัทแห่งฮิตาชิ

“จนถึงวันนี้ภาพลักษณ์ของบริษัทฮิตาชิได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย โดยใช้ความสามารถและเทคโนโลยี รวมไปถึงความร่วมมือและความทุ่มเทของบุคลากรในบริษัทเป็นส่วนประกอบสำคัญ” นี่เป็นข้อความแถลงการณ์ถึงเจตจำนงและความสามารถของบริษัทที่พวกเขาได้ขึ้นไว้บนหน้าเว็บไซต์ของฮิตาชิ ข้อความแถลงการณ์นี้ยังมีต่ออีกว่า “ต้นไม้ต้นนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความน่าเชื่อถือของกลุ่มฮิตาชิที่เป็นมิตต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มคุณค่าแบรนด์ของฮิตาชิด้วยการแสดงภาพลักษณ์ของสโลแกน “Inspire the Next””

ฮิตาชิเป็นหนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่รู้จักกันดีในแบรนด์ที่เป็นที่รักและน่าเชื่อถือ เนื่องจากโครงสร้างบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ฮิตาชิจึงได้กลายเป็นบริษัทที่มีความนิยมสูงมากในประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมายได้เดินทางไปเข้าชมสวนโมอานาลูว์อย่างใกล์ชิดทุกวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ชื่นชมต้นไม้และได้ถ่ายรูปพร้อมกับมีต้นฮิตาชิเป็นฉากหลังในรูปของพวกเขา

บริษัทฮิตาชิได้จ่ายเงินเป็นประจำทุกปีเป็นจำนวนเงิน 20,000 เหรียญสหรัฐให้กับ Samuel Damon ผู้เป็นเจ้าของสวนโมอานาลูว์แห่งนี้ เพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฏหมายสำหรับการใช้ต้นไม้ต้นนี้เป็นภาพลักษณ์ในการโฆษณาองค์กรของพวกเขา แต่หลังจากที่ Samuel Damon ได้เสียชีวิตลงในปี 2004 สวนแห่งนี้ก็ได้ถูกซื้อต่อไปโดยบริษัทท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Kaimana Ventures โดยเจ้าของบริษัทแห่งนี้ได้มีการต่อรองกับบริษัทฮิตาชิให้มีการเพิ่มเงินการจ่ายต่อปีเป็น 400,000 เหรียญสหรัฐ 
และตามข้อตกลงที่ตกลงกันเอาไว้กับ Kaimana Ventures รายได้จากฮิตาชิบางส่วนจะช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายปี 600,000 เหรียญสหรัฐสำหรับสวนแห่งนี้ 

นักปีนเขาผู้ทำให้ชาวเน็ตตกตะลึงด้วยปรากฏการณ์พายุสุดเหลือเชื่อ

Peter Maier วัย 27 ปีจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์สามารถจับภาพช่วงเวลาที่น่าทึ่งเมื่อพายุฝนฟ้าคะนองที่หายากได้ทิ้งน้ำจำนวนหลายตันลงในทะเลสาบอัลไพน์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีสภาพอากาศเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นความชื้นแบบรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการระเบิดอย่างฉับพลันของลมลงกระทบฐานพายุฝนฟ้าคะนอง

Maier สามารถบันทึกฉากที่น่าประทับใจนี่ได้บนวิดีโอจากระเบียงโรงแรมของเขาที่ทะเลสาบ Millsatt ในประเทศออสเตรีย เขาอธิบายภาพจากมุมมองของเขาว่ามันคือ “สึนามิจากสวรรค์” และเราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เขาบอกมาได้! 
จากการแชร์วิดีโอใน Facebook ทำให้มีผู้ชมมากกว่า 1.6 ล้านครั้งและมันก็ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกกลัว
Maier เป็นนักปีนเขาที่พกกล้องอย่างน้อยสองตัวไปด้วย เพื่อความพร้อมในการถ่ายภาพที่น่าทึ่งเหล่านี้ได้ตลอดเวลาและคราวนี้เขาก็ประสบความสำเร็จจริง ๆ
เลื่อนลงไปชมภาพสุดน่าประทับใจด้วยตัวคุณเอง

พบคางคกต้นอ้อย cane toad 10 ตัวขี่หลังงูเหลือมตัวหนึ่งในออสเตรเลีย

คางคกต้นอ้อยในออสเตรเลียขี่หลังงูเหลือมหลังจากเกิดพายุ
คางคกต้นอ้อยในออสเตรเลียขี่หลังงูเหลือม
พบคางคกต้นอ้อย (cane toad) 10 ตัวขี่หลังงูเหลือมตัวหนึ่งในออสเตรเลีย
พอล ม็อก ชาวเมืองคูนูนูร์รา ทางเหนือของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย บันทึกคลิปที่หาชมยากนี้ไว้ได้ หลังจากเกิดพายุฟ้าคะนองรุนแรงเมื่อคืนวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น

สัตว์เหล่านี้กำลังพยายามหนีออกมาจากพื้นที่บริเวณริมทะเลสาบ หลังฝนตกหนักจนน้ำล้นออกมา เขาพบว่า คางคกยักษ์เหล่านี้กำลังเกาะอยู่บนหลังของงูเหลือมขนาดใหญ่
เขาจึงส่งภาพที่ถ่ายไว้ได้ให้แอนดรูว์ พี่ชาย ซึ่งได้นำภาพไปโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ต

ม็อก เล่าให้บีบีซีฟังว่า เขาออกมาข้างนอก หลังเกิดพายุฟ้าคะนองรุนแรง ซึ่งฝนตกวัดปริมาณได้ 7 ซม. ในเมืองคูนูนูร์รา ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
"ผมออกมาข้างนอกและพบว่า น้ำล้นออกมาจากทะเลสาบ" เขากล่าว และเห็นคางคก

ซึ่งอาศัยอยู่ริมทะเลสาบ กำลังหนีออกมา เพราะน้ำที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น
"คางคกหลายพันตัวกำลังพยายามหาที่ไป" เขาเล่า "จากนั้นผมก็เห็นมอนที (Monty) งูเหลือมที่อยู่ในเมืองของเรา มีผู้อาศัยติดมาด้วยอยู่เต็มหลังไปหมด"
งู ซึ่งมีความยาว 3.5 เมตร เป็นสัตว์ที่พบได้ตามปกติในพื้นที่บ้านของนายม็อก
"เรารู้จัก มอนที กันดี" เขากล่าว "มันอยู่แถว ๆ สระน้ำและทำให้ภรรยาผมตกใจอยู่บ่อย ๆ ตอนที่เธอออกมาตากผ้า"

คางคกกำลังพยายามหนีน้ำที่เพิ่มระดับขึ้น หลังเกิดพายุฝนทางตอนเหนือของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
งูเหลือมดูเหมือนจะฉลาดพอที่จะไม่พยายามกินคางคกเหล่านี้ เพราะคากคกต้นอ้อยมีพิษที่ทำให้สัตว์ขนาดใหญ่ถึงตายได้ อย่างเช่น งู, กิ้งก่า และจระเข้

ขณะที่ผู้คนบางส่วนในโลกออนไลน์ตกใจกับภาพนี้ และบอกว่าเป็นการจัดฉากถ่ายภาพ แต่ส่วนใหญ่ต่างเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก และโพสต์ข้อความในเชิงขำขัน
ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @mstevo บอกว่า ตอนที่ยังไม่มีอูเบอร์ในเมืองคูนูนูร์รา ก็ใช้นี่แทน

ส่วน @GetterOne บอกว่า เป็นความคิดที่ดี ที่ขึ้นรถสาธารณะเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน (carbon footprint) แต่ความคิดที่ดีกว่านั้นก็คือ การขี่อะไรที่ไม่ทิ้งรอยเท้า (footprint) ไว้เลย

อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่า การที่คางคกทำเช่นนี้เป็นการจงใจ

โจดี โรว์ลีย์ นักชีววิทยาด้านการอนุรักษ์ ทวีตว่า คางคกเหล่านี้กำลังพยายามผสมพันธุ์กับมอนที
โรว์ลีย์ บอกว่า คางคกที่ขี่หลังงูเหลือมส่วนใหญ่เป็นคางคกตัวผู้ และคลิปวิดีโอนี้ ทำให้เธอนึกถึงคางคกต้นอ้อยที่พยายามผสมพันธุ์กับมะม่วงเน่าในควีนส์แลนด์

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน