Custom Search

7 โรคแปลกประหลาดที่หาผู้ป่วยได้ยากในปัจจุบัน

ทำความรู้จักกับ 7 โรคแปลกประหลาดที่หาผู้ป่วยได้ยากในปัจจุบัน….โดยเพาะโรคมนุษย์ต้นไม้ที่เห็นแล้วทรมานแทน
Cotard’s Syndrome : นี่คือโรคทางจิตที่หาได้ยาก มันเป็นอาการที่คนไข้มีความรู้สึกว่าตนเองตายไปแล้ว หรือไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง บางครั้งก็หลงผิดคิดไปว่าตัวเองเป็นอมตะ และผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการซึมเศร้าแบบเรื้อรัง
Oligodactyly : โรคนี้รู้จักกันในชื่อของ ”โรคขาดนิ้ว” โดยปกติแล้วมนุษย์ทุกคนจะเกิดมามีนิ้วมือข้างละ 5 นิ้ว แต่ผู้ป่วยโรคนี้จะพบว่าพวกเขามีนิ้วมือไม่ครบข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง
Albinism : โรคชนิดนี้รู้จักกันในชื่อของ ”โรคคนเผือก” มันคือโรคที่เกิดจากความปกติของร่างกายที่ไม่สามารถผลิตเม็ดสีเมลานิน จนทำให้ผิวมีสีขาวเผือก และจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดอายุขัย
เชิญรับชม

Cold Urticaria : มันคืออาการภูมิแพ้ประเภทหนึ่ง แต่ที่แตกต่างจากภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ
คือมันเป็นภูมิแพ้ความเย็น ไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือน้ำ โดยผู้ป่วยโรคนี้หากสัมผัสถูกสิ่งใดที่มีความเย็น จะเกิดผดผื่นขึ้นทั้งตัวและก่อให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก
Epidermodysplasia Verruciformis : มันคือโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นเหตุให้เกิดก้อนเนื้อที่แข็งคล้ายกับเปลือกไม้งอกขึ้นทั่วร่างกาย จนมีลักษณะคล้ายมนุษย์ต้นไม้
Hailey-Hailey Disease : โรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนส์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการอักเสบของผิวหนังชั้นนอก เมื่อผิวชั้นนอกถูกเสียดทานอย่างหนักจะก่อให้เกิดผลอักเสบเรื้อรัง
Hypertrichosis : เป็นอาการป่วยที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเห็นมาก่อนจากข่าวเมื่อหลายปีก่อน โดยอาการของผู้ป่วยที่พบคือมีขนปกคลุมทั่วใบหน้า ที่เชื่อกันว่าเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่เกิด
ที่มา : man

พบหลักฐานมนุษย์เดนิโซวานในจีน



พบหลักฐานมนุษย์เดนิโซวานในจีน

มนุษย์โบราณสายพันธุ์เดนิโซวานถือเป็นสายพันธุ์ที่ลึกลับ เพราะหลักฐานที่มีในปัจจุบันมีน้อยมาก แต่ในตอนนี้เรากำลังเข้าใกล้ความจริงกับมนุษย์เดนิโซวานนี้ไปอีกขั้นแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์สรุปแล้วว่าฟอสซิลหัวกะโหลกมนุษย์โบราณในจีนอาจเป็นของมนุษย์สายพันธุ์นี้ก็เป็นได้

ในปี 2007 นักมานุษยวิทยาได้ค้นพบอุปกรณ์โบราณของมนุษย์ยุคหินที่มีอายุเก่าแก่ราว 125,000 ปีก่อน และในชั้นหินเดียวกันนั้น พวกเขาได้ค้นพบฟอสซิลหัวกะโหลกบางส่วนของมนุษย์ยุคหิน แต่ด้วยฐานข้อมูลที่ยังไม่แน่นพอในยุคนั้น ทำให้พวกเขาไม่อาจสรุปได้ว่ามันเป็นของมนุษย์สายพันธุ์ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ นักมานุษยวิทยาได้สรุปแล้วว่ามันอาจเป็นหัวกะโหลกของมนุษย์เดนิโซวาน เพราะสรีระของมันไม่ตรงกับหัวกะโหลกของมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใดเลยที่เคยบันทึกไว้

มนุษย์เดนิโซวานได้รับการยอมรับว่าเป็นสายพันธุ์ที่เคยมีอยู่จริงเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมานี้เอง แต่หลักฐานในมือนักมานุษวิทยามีเพียง DNA เพียงเส้นเดียวและกระดูกนิ้วอันเล็กๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้จากการประกอบกันของข้อมูลทำให้เชื่อได้ว่า ฟอสซิลกระโหลกมนุษย์ที่พบในจีนนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นของมนุษย์เดนิโซวาน ซึ่งจะถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์แห่งวงการโบราณคดีเลยทีเดียว โดยหัวกะโหลกทั้งสองที่ถูกค้นพบนี้มีความคล้ายคลึงกับหัวกะโหลกที่ค้นพบห่างไปจากจุดนี้เพียง 850 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นการยืนยันได้ว่าเป็นสายพันธ์เดียวกัน แต่รูปร่างที่แท้จริงของมันยังไม่มีใครทราบได้
นักมานุษยวิทยาได้สรุปว่า รูปพรรณสันฐานของกะโหลกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างมนุษย์ยุคปัจจุบันและมนุษย์นีแอนเดอธัล รวมถึงอายุของหัวกะโหลกทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าหัวกะโหลกสองอันที่ว่านี้อาจเป็นของมนุษย์เดนิโซวานแน่นอน สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ก็มีเพียงว่า พวกเขามีชีวิตอยู่ระหว่าง 150,000 ถึง 50,000 ปี ที่แล้ว และเคยผสมพันธุ์กับทั้งมนุษย์ยุคปัจจุบันและมนุษย์นีแอนเดอธัล

ผลการตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะออกมาหลังการพิสูจน์ DNA เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ยังทำได้ลำบากมากจากการสกัด DNA จากหัวกะโหลก ซึ่งแม้จะยังไม่มีผลสรุป แต่ทั้งสองหัวกะโหลกนี้ก็สามารถบอกถึงความหลากหลายทางชีวภาพในโลกโบราณได้แล้ว

พบหลักฐานมนุษย์เดนิโซวานในจีน

เรื่องลึกลับในไทย ตำนานลี้ลับที่อยู่ในใจคนไทยและยังไม่มีใครไขปริศนาได้

ประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวที่ต่างแฝงไปด้วยความเชื่อมากมาย บางเรื่องเล่าต่อๆกันมา แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น

          เรามาดูกันดีกว่า 6เรื่องลึกลับในไทย กับตำนานที่อยู่ในใจคนไทยมาตลอด แต่ยังไม่มีใครไขปริศนาได้มีเรื่องอะไรบ้างไปดูกัน

1. นารีผล

          เรื่องนารีผล หรือ มักกะลีผลถูกเล่าต่อๆกันมาว่า เป็นผลไม้วิเศษที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ผลสดเป็นรูปหญิงสาวที่ศีรษะติดอยู่กับขั้ว ผมยาวสีทอง ตาโต ไม่มีกระดูก ส่งเสียงได้เหมือนมนุษย์ แต่เมื่ออายุครบ 7 วันก็จะเหี่ยวเฉาไป แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล่า แต่เมื่อปี ค.ศ. 1996 ได้มีข่าวลงหน้าหนึ่งดังกระฉ่อนในประเทศไทยว่า พบซากคล้ายสัตว์แห้งๆ แต่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โดยผู้ครอบครองอ้างว่าเป็นมักกะลีผล แต่หลายคนกลับบอกว่าอาจจะเป็นตัวอ่อนของทารกที่ไม่สมบูรณ์ และที่คนพูดถึงมากที่สุดเห็นจะเป็น มักกะรีผล แท้จริงเป็นแค่หัวมันที่แกะสลัก ายที่ชายแดนประเทศลาวเพียงเท่านั้น

2.ช้างน้ำ

           เป็นข่าวกระฉ่อนเมืองหลังข่าว มักกลีผลได้ไม่นาน เมื่อมีคนพบซากช้างตัวจิ๋ว ที่เมื่อนำไปเอ็กซ์เรย์ก็พบว่าในร่างกายมีกระดูกอยู่จริง ซึ่งทำเอาหลายคนพูดว่า ช้างน้ำที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์นั้นมีอยู่จริง เหมือนที่พระภิกษุรูปหนึ่งได้อ้างว่าเคยเห็นช้างน้ำตัวเป็นๆมากว่า 2 ครั้ง แต่แล้วก็มีคนพิสูจน์ซากดังกล่าวก็สังเกตได้ว่า อาจจะเป็นสัตว์ประเภทหนู บีเวอร์ มากกว่า เพราะฟันเป็นซี่ๆ แถมโครงกระดูกก็ต่างจากช้างโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้คาดว่าน่าจะเป็นหนูแต่มีคนนำงาเสียบเข้าไปนั่นเอง

3.ซีอุย

            เรื่องราวสุดสยองขวัญ ที่ทำเอาหลายคนขวัญกระเจิง ชื่อของซีอุย ฆาตรกรต่อเนื่องที่เล่าต่อๆกันมาว่า ซีอุยฆ่าเด็กแล้วกินเครื่องใน ทั้งนี้ความจริงของซีอุยไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อสอบถามกับชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ที่เดียวกับซีอุย พบว่า ซีอุยไมไ่ด้ฆ่าเด็กทุกคน มีเพียงเด็กคนสุดท้ายที่เป็นหลักฐานมัดตัว อีกทั้งเครื่องในของเด็กก็ไม่ได้หายอย่างที่เล่าต่อๆกันมา แต่ที่ซีอุยต้องสารภาพก็เพราะ เจ้าหน้าที่ได้บอกกับซีอุยว่าถ้ารับสารภาพจะได้กลับเมืองจีน ซีอุยจึงยอมรับสารภาพและถูกประหารชีวิตในที่สุด

4.ขุมทรัพย์ทหารญี่ปุ่น

             ก่อนที่ญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม เชื่อว่าคนญี่ปุ่นได้นำสมบัติจำนวนมากมาฝังเอาไว้หลายประเทศแถบเอเชีย หนึ่งในสถานที่ที่คนเชื่อว่ามีขุมทรัพย์ของทหารญี่ปุ่นซ่อนอยู่ก็คือ รถไฟสายมรณะ บางคนเชื่อว่าอยู่ในถ้ำลิเจีย จ.กาญจนบุรี โดยเชื่อว่าทหารญี่ปุ่นได้ซ่อนสมบัติเอาไว้ในถ้ำที่เอากลับประเทศไม่ได้และไม่อยากให้ใครพบเจอ โดยเรื่องราวของถ้ำลิเจียก็ดังขึ้นมาเป็นระลอก ทั้งตอนที่ประเทศไทยต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ทำให้มีคำสั่งให้ค้นถ้ำลิเจียแต่ก็ไม่มีคนให้ความสนใจมากนั้น และถ้ำลิเจียดังขึ้นมาอีกครั้งตอนที่มีคนพบพันธบัตรสหรัฐแต่ต่อมาก็พบว่าเป็นแบงค์ปลอม จนทำให้ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า ขุมทรัพย์ของทหารญี่ปุ่นในถ้ำลิเจียมีจริงหรือไม่ 

5.พญานาค

         ประเทศไทยเองเชื่อว่า ในแม่น้ำโขง มีงูขนาดใหญ่ที่มีหงอนอาศัยอยู่ เห็นได้จากปรากฎการณ์ที่เชื่อว่าเกิดจากพญานาคทั้ง บั้งไฟพญานาค คลื่นน้ำ ร่องรอยของงูขนาดใหญ่ในวันออกพรรษา เรื่องของพญานาคตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่มีไว้พร้อมกับคำพูดที่ว่า ไม่เชื่อหย่าลบหลู่ โดยบางคนก็บอกว่า บั้งไฟพญานาคบางทีเป็นฝีมือมนุษย์ด้วยกันเอง ส่วนคลื่นน้ำที่เหมือนพญานาคว่ายผ่าน ก็คงเป็นแค่คลื่นน้ำที่ไปกระทบวัตถุ รอยต่างๆก็เชื่อว่าบางทีมนุษย์อาจสร้างขึ้นเองหรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ

6.เพชรซาอุ 

          ตำนานนี้เริ่มต้นจากที่ภารโรงคนไทยได้เข้าไปขโมยเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล โดยสิ่งที่ติดมาด้วยก็คือ บลูไดม่อน หรือ ที่เรียกกันว่าเพชรซาอุ ซึ่งครั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่าผิดหวังก็คือ คนร้ายได้นำเพชรบางส่วนไปขายสู่ตลาดมืด ซึ่งมีบลูไดม่อน รวมอยู่ด้วย และก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปเพชรซาอุ ที่ใครเข้าไปเกี่ยวข้องต้องได้รับหายนะ และมีอันเป็นไป ซึ่งทุกวันนี้การหาเพชรซาอุก็ยังมืดแปดด้าน จนทำให้หลายคนเชื่อว่าหรือบางทีเพชรอาจถูกทุบจนแตกแล้วไปเจียรไนเป็นเพชรใหม่ หรืออาจจะอยู่ที่ใครสักคนที่ยังไมไ่ด้รับการเปิดเผย

7 ขุมทรัพย์โบราณที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดเท่าที่นักล่ามหาสมบัติเคยค้นพบ


การบังเอิญพบเจอ “ขุมทรัพย์” อาจฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แค่ในภาพยนตร์หรือหนังสือนิยายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินเงินทองและเพชรพลอยมูลค่ามหาศาลเป็นสิ่งที่ถูกพบอยู่เสมอมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ยกตัวอย่างเช่น 7 เหตุการณ์การค้นพบขุมทรัพย์ ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นการค้นพบทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

ขุมทรัยพ์แห่ง Cuerdale
 


ปีที่พบ: 1840
มูลค่า: ประมาณ 130 ล้านบาท
ระหว่างการซ่อมบำรุงคันกั้นแม่น้ำ Ribble ในเขตปกครอง Cuerdale ใกล้กับเมืองเพรสตัน มณฑลแลงคาเชอร์ สหราชอาณาจักร คนงานได้พบกล่องปริศนาที่บรรจุของมีค่าไว้กว่า 8,600 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ เพชรพลอย และแท่งโลหะเงิน
จากการตรวจสอบพบว่าส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สมบัติของชาวไวกิ้งในประเทศอังกฤษ รวมถึงของมีค่าที่มาจากดินแดนอื่นเช่นกลุ่มประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ประเทศอิตาลี และจักรวรรดิไบแซนไทน์
ทรัพย์สมบัติบางส่วนถูกนำขึ้นถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย บางส่วนถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ และบางส่วนก็ถูกคนงานที่ขุดพบเก็บไป

ขุมทรัพย์แห่ง Hoxne
 


ปีที่พบ: 1992
มูลค่า: ประมาณ 155.5 ล้านบาท
Peter เกษตรกรคนหนึ่งในหมู่บ้าน Hoxne เมืองอาย มณฑลซัฟฟอล์ก สหราชอาณาจักร ได้ทำค้อนโลหะหายในสวน จึงได้ขอให้เพื่อนของเขานำเครื่องตรวจจับโลหะมาช่วยค้นหา แต่แทนที่จะหาเครื่องมือของตัวเองพบ ปีเตอร์และเพื่อนกลับค้นพบช้อนเงิน ทอง เพชรพลอย และเหรียญจากศตวรรษที่ 4 หรือ 5 ถูกฝังไว้ในกล่องไม้โอ๊กใต้ดิน
หลังจากแจ้งนักโบราณคดีมาตรวจสอบ ขุมทรัพย์ทั้งหมดก็ถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ รวมทั้งค้อนโลหะที่นำไปสู่การค้นพบครั้งนี้ด้วย

ขุมทรัพย์แห่ง Staffordshire
 


ปีที่พบ: 2009
มูลค่า: 165.5 ล้านบาท
Terry Herbert กำลังไถที่ดินและใช้เครื่องตรวจจับโลหะตรวจสอบทุ่งหญ้าในชุมชน Hammerwich มณฑลสแตฟฟอร์ดเชอร์ สหราชอาณาจักร จนกระทั่งบังเอิญพบกับขุมสมบัติของชาวแองโกล-แซกซัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์ของทหารที่มีอยู่ราว 3,500 ชิ้น เชื่อว่ามีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8

ขุมทรัพย์ Środa

ปีที่พบ: 1985-1988
มูลค่า: ประมาณ 1,700 ล้านบาท ถึง 3,500 ล้านบาท
ย้อนกลับไปในปี 1985 เมือง Środa Śląska ในประเทศโปแลนด์มีการซ่อมบำรุงและบูรณะสิ่งก่อสร้าง ระหว่างที่คนงานกำลังขุดฐานของอาคารได้มีการค้นพบกล่องสมบัติที่บรรจุเหรียญเงินเก่าแก่จากศตวรรษที่ 14 ราว 3,500 เหรียญ

ไม่กี่ปีต่อมาระหว่างการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ ก็ได้มีการค้นพบทรัพย์สมบัติเพิ่มเติมจากครั้งแรก มีทั้งทองคำ เงิน และเพชรพลอยหลายชนิด รวมถึงมงกุฎและเครื่องประดับรูปหัวมังกร
มูลค่าของทรัพย์สมบัติแห่งหมู่บ้าน Środa นั้นไม่อาจประเมินค่าได้ชัดเจน เนื่องจากแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่เคยพบของมีค่าที่มีลักษณะเหมือนกับสิ่งที่พบในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อนเลย

ขุมทรัพย์ใต้น้ำที่ Ceasarea
 


ปีที่พบ: 2015
มูลค่า: ไม่อาจประเมินค่าได้
ระหว่างที่นักดำน้ำกำลังทำการสำรวจทะเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Caesarea National Park ในประเทศอิสราเอล ก็ได้พบกับเหรียญทองคำเก่าแก่จึงทำการสำรวจต่อไปและได้เจอขุมทรัพย์ที่มากมายมหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้
นักดำน้ำได้รายงานไปยังหน่วยงานโบราณวัตถุอิสราเอล จากนั้นจึงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเจ้าหน้าที่และเครื่องตรวจจับโลหะ พวกเขาค้นพบเหรียญเก่าแก่มากกว่า 2,000 เหรียญที่แตกต่างกันทั้งวัสดุ รูปทรง มูลค่า และความเก่าแก่ เหรียญที่เก่าแก่ที่สุดมาจากศตวรรษที่ 9 ความหลากหลายที่พบทำให้ผู้เชี่ยวชาญไม่อาจประเมินค่าได้แต่เชื่อว่ามีมูลค่ามหาศาล

ทองคำแห่ง Panagyurishte
 


ปีที่พบ: 1949
มูลค่า: ไม่อาจประเมินค่าได้
ขณะที่พี่น้อง Pavel, Petko และ Michail Deikov กำลังขุดดินโคลนในโรงงานกระเบื้องที่เมือง Panagyurishte ประเทศบัลแกเรีย ก็บังเอิญพบเครื่องเป่าที่มีรูปร่างประหลาด พวกเขาจึงเดินหน้าขุดต่อไปและได้พบกับวัตถุที่ประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงนำสิ่งที่เจอไปให้นายอำเภอตรวจสอบและได้ทราบว่าวัตถุเหล่านี้ทำมาจากทองคำ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบจึงพบว่าสิ่งที่ตอนแรกคิดว่าเป็นนกหวีดหรือเครื่องดนตรีนั้นแท้จริงแล้วเป็นถ้วยทองคำรูปเขาสัตว์ซึ่งใช้ในพิธีกรรมเก่าแก่ตั้งแต่ยุค 400 ปีก่อนคริสต์กาล นอกจากนี้ยังมีคนโททองคำ จานทองคำ แจกันทองคำ และสิ่งของอื่นๆ ที่ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมความเชื่อแบบโบราณซึ่งทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด

ทองคำ Bactrian
 


ปีที่พบ: 1978
มูลค่า: ไม่อาจประเมินค่าได้
จากการศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่าผู้คนในสมัยโบราณนิยมฝังข้าวของเครื่องใช้และทรัพย์สินมีค่าลงไปในหลุมฝังศพพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของบรรพบุรุษ ทองคำ Bactrian ที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดี Tillya Tepe ทางตอนเหนือของประเทศอัฟกานิสถานก็ถูกพบในหลุมฝังศพเช่นกัน
ทรัพย์สมบัติเหล่านี้มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 1 จากการขุดค้นหลุมศพเพียง 6 แห่ง ก็ได้พบกับเครื่องประดับทองคำมากกว่า 20,000 ชิ้น นักโบราณคดีเชื่อว่าหลุมศพเหล่านี้เป็นหลุมฝังพระศพของเจ้าชายและชายาทั้ง 5 พระองค์ นอกจากทองคำแล้วยังมีเพชรพลอยมูลค่ามหาศาลที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามาจากหลากหลายภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และกรีกโบราณ
 


ตั้งแต่มีการขุดค้นในปี 1978 ก็มีการส่งต่อ จำหน่าย และเปลี่ยนเจ้าของไปหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งในปัจจุบันทองคำและเพชรพลอยแห่ง Bactrian นั้นได้ถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ทั่วทุกมุมโลก

ที่มา: mental

นาซาพบ แก้ว บนดาวอังคาร


ยานอวกาศของนาซาค้นพบวัสดุแก้วบนพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่าอาจเป็นหนทางใหม่ในการหาคำตอบเรื่องสิ่งมีชีวิตในจักรวาล

ข้อมูลล่าสุดจากยานอวกาศ "มาร์ส รีคอนเนสเซนซ์ ออร์บิเตอร์" หรือ MRO ขององค์การนาซาระบุว่าพบวัสดุที่เป็นแก้วบนดาวอังคาร โดยวัสดุแก้วดังกล่าวปะปนอยู่กับเถ้าถ่านภูเขาไฟบนพื้นผิวของดาวอังคาร ซึ่งถือเป็นการค้นพบที่สำคัญที่อาจทำให้นักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์เข้าใจความเป็นมาของดาวอังคารได้ดียิ่งขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยบราวน์ มลรัฐโรดไอแลนด์ ระบุว่าเมื่อก่อนการสำรวจและศึกษาดาวอังคารจะมุ่งไปที่การค้นหาร่องรอยของแหล่งน้ำจากตะกอนในชั้นหิน ซึ่งอาจนำไปสู่การหาคำตอบว่าดาวอังคารเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือไม่ แต่การค้นพบแก้วล่าสุดทำให้นักวิทยาศาสตร์อาจมีเส้นทางใหม่ในการหาคำตอบดังกล่าว นั่นก็คือการตรวจสอบวัสดุแก้วเหล่านั้นว่าจะเก็บรักษาหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตไว้บ้างหรือไม่นั่นเอง
นายบิลล์ นาย ซีอีโอของ "เดอะ แพลเนแทรี โซไซตี" องค์การด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ในสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าหากสามารถนำตัวอย่างวัสดุแก้วดังกล่าวกลับมาตรวจสอบที่โลกได้ ก็จะเป็นผลดีกับวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างมาก นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้คนทั่วโลกมองประเด็นสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารและในจักรวาลแตกต่างไปจากเดิมอีกด้วย

ตะลึงหินประหลาด ขยายพันธุ์ได้ด้วย

  
ตะลึงหินประหลาด ขยายพันธุ์ได้ด้วย
"ขยายพันธุ์จนเต็มโอ่ง"
🙄อย่านะ อย่าเพิ่งเบื่อ มาดูเรื่องราวความประหลาดกันอีกสักเรื่อง

ดูไว้หนุกๆ ขำๆ หรือจะจริงจังก็ตามเถิด
คราวนี้นางณัฐวรา บุญมา อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 116/1 หมู่ 4 ต.โคกหม้อ อ.เมือง จ.ราชบุรี บอกมาว่า มีหินประหลาดทุบออกแล้วข้างในยังพบหินชั้นในลักษณะมีความแวววาวคล้ายพลอย และมันสามารถขยายพันธุ์จนเต็มโอ่ง

ไม่รอช้าทีมงานระดับ "เป็นไปได้" จึงรีบเดินทางไปดูตามบ้านที่ได้รับแจ้ง เมื่อไปถึงก็พบกับนางณัฐวรา เจ้าของบ้านและเป็นเจ้าของหินประหลาดที่ว่า

นางณัฐวราได้รีบพาเข้าไปดูโอ่งน้ำที่พอเปิดฝาดูก็พบว่าภายในมีแต่ก้อนหินเล็กใหญ่จำนวนมาก นับๆ แล้วก็น่าจะเป็นแสนเม็ด

🤔"เรียกว่าหินหอย"
นางณัฐวราก็เล่าว่า หินเหล่าประหลาดนี้คือหินหอย มันสามารถขยายพันธุ์ได้ เล่าไม่เล่าเปล่านางณัฐวราได้นำหินหอยมาใช้ฆ้อนทุบให้ดูว่าข้างในหินมันมีก้อนสีขาวคล้ายๆ กับคริสตัล ยิ่งพอกระทบกับแสงแดดมันจะส่องแสงแวววาวสวยงามมากอย่างกับเพชรพลอย 

ส่วนที่มาของหินประหลาดนี้นางณัฐวรา บอกว่า เห็นพวกนี้มาได้ประมาณ 50-60 ปีแล้ว เนื่องจากพ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี พ่อได้เก็บเอาหินประหลาดนี้กลับมาบ้านด้วย ตอนนั้นพ่อเก็บมาแค่ 30-40 ก้อน โดยเอาไปใส่ไว้ในโอ่งน้ำกินเพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นยา หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีใครสนใจมันเลย จนกระทั่งพ่อตายลูกๆ ก็พากันย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่ จ.กาญจนบุรี

"และด้วยความเสียดายโอ่ง จึงจะนำโอ่งกลับมาด้วย พอไปดูในโอ่งก็ผิดสังเกต พบว่าหินที่พ่อโยนใส่โอ่งไว้มันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมนับแล้วมีประมาณ 60-70 ก้อน ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอะไร กระทั่งประมาณต้นเดือนเมษายน 2548 ได้ย้ายมาอยู่ที่ จ.ราชบุรี ก็นำโอ่งน้ำกลับมาด้วย และทิ้งหินประหลาดนี้ไว้ในโอ่งโดยไม่ได้สนใจอี
"สงสัยว่าขยายพันธุ์ได้อย่างไร"

"มาเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ก็ตกใจพบว่าหินมันเพิ่มมากขึ้นมาจนเกือบเต็มโอ่ง ขนาดก็มีทั้งเล็กและใหญ่ ลักษณะถ้าก้อนเล็กๆ ก็จะมีรูปร่างเรียวเล็กคล้ายกับหอย พอก้อนใหญ่ขึ้นก็มีลักษณะเหมือนหินธรรมดา แปลกใจมากไม่คิดว่าหินธรรมดาที่เห็นจะสามารถขยายพันธุ์ได้ เลยคิดว่าน่าจะลองทุบดูข้างในว่ามันมีอะไรแปลกประหลาด และเมื่อนำมาทุบดูก็พบว่าข้างในหินมีลักษณะคล้ายกับคริสตัล หรือพวกเพชรพลอย"
"ทั้งตัวเองและญาติๆ ตลอดจนเพื่อนบ้านเองก็ไม่เข้าใจว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่หินมันจึงขยายพันธุ์ได้ แถมข้างในยังสวย ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ด้วยความที่เก็บความสงสัยไม่อยู่จึงอยากให้มีใครก็ได้มาช่วยพิสูจน์หน่อยว่าหินหอยนั้นขยายพันธุ์ได้อย่างไร" นางณัฐวรากล่าว

ใครอยากรู้ก็ไปดูเอาเอง!!

เผยความลับอุโมงค์พิศวง ลึก 8 เมตรใต้พีรามิดแห่งดวงจันทร์ ที่เม็กซิโก



เผยความลับอุโมงค์พิศวง – เว็บไซต์ เดลีเมล์  รายงานข่าว นักโบราณคดีค้นพบอุโมงค์พิศวงอยู่ใต้ พีรามิด ออฟ เดอะมูน ที่ประเทศเม็กซิโก สร้างความความเชื่อว่าเป็นประตูสู่ยมโลกและพิธีกรรมความเชื่อในแบบเมโสอเมริกาโบราณ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะมีโครงกระดูกพร้อมกะโหลกที่รูปร่างผิดส่วนและสิ่งของแปลกประหลาดอยู่ใต้ดินนั้น

การค้นพบทางโบราณคดีครั้งนี้อยู่ในพื้นที่ประวิติศาสตร์ เทโอทิวาคาน (Teotihuacan) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเม็กซิโกซิตี้ เมืองหลวง

พีรามิด ออฟ เดอะมูน ถือเป็นพีรามิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองลงมาจากพีรามิด ออฟ เดอะ ซัน  สถาปัตยกรรมโบราณที่ประเมินว่าสร้างขึ้นในช่วงราวค.ศ.200 แต่เมืองเทโอทิวาคานน่าจะสร้างขึ้นช่วง 100 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวทีโอเทค ก่อนที่ชนแอซเทคจะมาถึง

การค้นพบห้องต่างๆและอุโมงค์ลึกลับใน พีรามิด ออฟ เดอะมูน เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 2017 หรือพ.ศ.2560 หลังจากที่นักโบราณคดีได้นำเทคโนโลยีจากความรู้เรื่องความต้านทานไฟฟ้ามาใช้ นำไปสู่การค้นพบอุโมงค์สุดลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้พีรามิด

ดร.เวโรนกา ออร์เตก้า ผู้อำนวยการโครงการด้านการอนุรักษ์พิเศษของพลาซ่า เดอ ลา ลูนา กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้พวกเรามุ่งเน้นไปที่ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมโบราณที่เกี่ยวข้องกับอุโมงค์ลึกลับที่ตั้งอยู่กลางจัตุรัสอันซับซ้อนนี้ โดยมีความเชื่อว่ามันคือประตูสู่ขุมนรก

การค้นพบครั้งก่อนนักโบราณคดีได้พบโครงกระดูกของมนุษย์จำนวนมากที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว มีความผิดปกติของกะโหลกในพื้นที่อารยธรรมมายาโบราณและพบวัตถุที่ทำมาจากหินสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ มานุษยรูปนิยมที่เป็นงานโมเสก จึงอาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่จะพบอยู่ใต้อุโมงค์ข้างล่างนี้คงมีลักษณะคล้ายๆ กัน


การใช้เทคโนโลยีใหม่ในการสำรวจ
อุโมงค์ที่เพิ่งพบแห่งใหม่นี้อยู่ลึกลงไปจากผิวดินของพีรามิด 8 เมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เมตร และได้รับการยืนยันล่าสุดแล้วว่าห้องนี้มีอยู่จริงจากผลการทำซีทีสแกนเมื่อเดือนมิ.ย.ปีนี้  ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าหลุมศพที่อาจถูกอุทิศสำหรับพิธีกรรม

ดร.ออร์เตก้า กล่าวเพิ่มเติมว่า อุโมงค์นี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพลาซ่า เดอ ลา ลูนา แต่ดูเหมือนว่าจะมีทางเข้าจากฝั่งตะวันออกอีกทางด้วยเช่นกัน การตรวจสอบโครงกระดูกในหลุมศพเหล่านี้ จะช่วยให้ทราบถึงความเกี่ยวข้องของเมืองโบราณแห่งนี้กับภูมิภาคอื่นๆ ในอารยธรรมที่มีรากเหง้ามาจากเมโสอเมริกาหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันได้ สิ่งลึกลับในอุโมงค์จะเป็นกุญแจไขคำตอบให้เรา
ผู้เชี่ยวชาญคนก่อนหน้า กล่าวว่า ตามความเชื่อโบราณอุโมงค์แห่งนี้อาจเคยเป็นทางไหลของน้ำศักดิ์สิทธิ์และเป็นประตูสู่นรก ซึ่งการค้นพบได้ยืนยันว่าชาวเทโอทิวาคาน (Teotihuacan) อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้และใช้ชีวิตโดยเลียนแบบโลกใต้พิภพ


การศึกษาด้วยการวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าเป็นรูปแบบของการสำรวจทางธรณีฟิสิกส์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะช่วยในการสร้างภาพที่อยู่ใต้ผิวดิน เป็นการใช้ศักย์ไฟฟ้าเพื่อระบุพื้นผิวของวัตถุ

ภูเขาเนมรุต ผู้มาเยือนจากต่างดาว

ภูเขาเนมรุต ผู้มาเยือนจากต่างดาว

ภูเขาเนมรุตภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) 
อยู่ที่เมืองอาดึยามัน (Adiyaman) ประเทศตุรกี ภูเขาเนมรุตตั้งอยู่บนภูเขาสูง 2,134 เมตร ภูเขาเเห่งนี้ไม่มีต้นไม้คล้ายกับเป็นเมืองทะเลทราย มองดูโดยรอบมีความสวยงามของภูเขา และเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Kingdom of Commagene) สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก

62-38 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์แอนติโอด์ที่ 1 ธีโอส เเห่งโคมายานา (Antiochus I Theos of Commagene) สร้างสถานที่เเห่งนี้บนภูเขาสูง ซึ่งทำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่สูง 8-9 เมตร ศีรษะเทพขนาดความสูง 2 เมตร ด้วยศีรษะประกอบด้วยเทพเจ้าเนมรุต, เทพเจ้าเปอร์เซีย, เทพเจ้ากรีก, เทพเจ้าสิงโต, เทพเจ้านกอินทรี รูปปั้นเหล่านี้ถูกจัดทำขึ้นโดยมีชื่อของพระเจ้าแต่ละองค์ ศีรษะของรูปปั้นมีขั้นตอนถูกนำออกจากร่างกาย และถูกจัดตั้งไว้อยู่ด้านร่างของร่างกาย

ภูเขาเนมรุต
อาณาจักรโคมายานาต่อสู้รบกับอาณาณาโรมันจนพ่ายเเพ้ อาณาจักรโคมายานาจึงถูกปกครองโดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาเกโดนีอา (Alexander III of Macedon) เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ อาณาจักรโคมานายาก็ปกครองด้วยตัวเอง ต่อมาวัฒนธรรมต่างๆ ของอาณาจักรโคมานายาก็เป็นอารยธรรมกรีกรวมกับความเชื่อของคนพื้นเมืองดั่งเดิม โคมานายาเป็นเอกราชอยู่ 200 ปี ก่อนจะรวมเข้ากับจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา

ค.ศ. 1881 คาร์ล ซีซเทอะ (Karl Sester) นักโบราณคดี วิศวกรเยอรมัน ผู้ค้นพบภูเขาเนมรุต เขาได้อุทิศชีวิตให้สถานที่เเห่งนี้ เขาได้ประเมินศึกษาสถานที่เเห่งนี้  มีการขุดค้นเเต่ไม่สามารถเปิดเผยหลุมฝังศพของเหล่ากษัตริย์ได้ อย่างไรก็ตามเขายังคงเชื่อว่าภูเขาเนมรุตเป็นที่ฝังศพของเหล่ากษัตริย์ เเละให้ความเห็นว่ารูปปั้นศีรษะทั้งหมดถูกตัดศีรษะ ซึ่งไม่ได้ถูกตั้งใจสร้างให้เป็นเเบบนี้ เเละไม่ได้รับการคืนสภาพเดิม

ค.ศ. 1987 ภูเขาเนมรุตถูกจัดให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (Unesco) มีนักท่องเที่ยวแวะไปเยี่ยมเยือนในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคมเป็นจำนวนมาก เป็นสถานที่ยอดนิยมในการเดินทางด้วยรถ และมีรถประจำทางไปยังพื้นที่ และสามารถเดินทางจากเฮลิคอปเตอร์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีนักโบราณคดีศึกษาเพิ่มเติมอยู่เป็นจำนวนมาก
ช่องปริศนาเเห่งภูเขาเนมรุต
ปริศนาภูเขาเนมรุต คือ มีช่องปริศนาทำมุม 45 องศา ลึกเข้าไป ยาว 150 เมตร เชื่อมโยงไปยังภายในภูเขา โดยคาดว่าจะพบศพกษัตริย์ เเต่เมื่อนักโบราณคดีสำรวจลึกเข้าไปกลับไม่พบอะไรเลย ทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเสนอว่า เเต่ละปี มี 2 วัน ที่พระอาทิตย์ส่องเเสงเข้าไปยังช่องปริศนานี้ ครั้งที่ 1 กลุ่มดาวสิงโตปรากฏไปด้านทางเหนือ ครั้งที่ 2 กลุ่มดาวนายพรานปรากฏไปด้านทางใต้ เส้นทางเดินเเสงนี้ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่าเป็นเส้นทางสู่สรวงสวรรค์ โดยกษัตริย์จะสามารถเดินทางกลับดาวได้


ตำนาน เกาะต้องคำสาป นางมัสสุหรี

...ตำนานนางเลือดขาว มัสสุหรี...

        เกาะลังกาวี  เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวมาเลย์ ว่ามีตำนานที่เล่าขานกันมา  ถึงเจ้าหญิงชายารัชทายาท ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้วนามว่ามัสสุหรี ซึ่งเป็นหญิงคนไทย ลูกหลานชาวภูเก็ต

        พ่อกับแม่พระนางมัสสุหรี มีอาชีพค้าขายทางเรือระหว่าง ภูเก็ตกับเกาะปีนัง จนกระทั่ง วันหนึ่งได้ตั้งท้อง และซินแซ ได้ทำนายทายทักว่า เด็กในท้องจะเป็นผู้หญิง ที่มีบุญยาธิการสูง เป็นคนดีที่เคารพแก่คนทั่วไป

        พ่อและแม่ของพระนางฯ เชื่อในคำทำนายของซินแซ ประกอบกับการค้าขายที่ผ่านมา ไม่สามารถสร้างความร่ำรวย เหมือนคนอื่นๆเขา สาเหตุเพราะไม่มีเรือสำเภาเป็นของตนเอง ต้องอาศัยเช่าเรือคนอื่น ทำให้มีผลกำไรน้อยจนไม่สามารถทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้  อีกทั้งเด็กหญิงมัสสุหรีที่เกิดมา ก็น่ารักน่าชัง  พ่อและแม่ของพระนางมัสสุหรี จึงขายข้าวของทั้งบ้าน และที่ดินจนหมด เพื่อลงทุนซื้อเรือ และสินค้าไปขายที่เกาะปีนัง 

        แต่ที่สุด ขณะที่พระนางมัสสุหรี อายุได้ 7 ขวบ ระหว่างเดินเรือกลางทะเล เกิดพายุใหญ่ขึ้น ด้วยความเป็นห่วงลูก พ่อและแม่ได้เข้ามาโอบกอดกลัวลูกตกทะเล ทำให้ทิ้งการควบคุมใบเรือและหางเสือ ทำให้เรือล่มกลางทะเล ทุกคนตกลงสู่ทะเล  ด้วยความห่วงลูก จึงอธิฐานว่า หากเด็กคนนี้มีบุญยาธิการจริงก็ขอให้รอดพ้นจากการจมน้ำเถิด ทั้งสามแม่ลูกจึงรอดชีวิตอย่างปฏิหารย์ ไปติดที่เกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นคือ ลังกาวี ที่แปลว่า นกอินทรีย์สีน้ำตาล
        บนเกาะลังกาวีนั้น มีคนมาเลย์พื้นเมืองเดิม มีสุรต่านปกครองชาวประชาเหมือนรัฐอื่นๆในแถบคาบสมุทรมาลายู สามพ่อแม่ลูกจึงเดินทางเข้าไปก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากชนพื้นเมืองนัก จึงเดินทางไปยังใจกลางเกาะซึ่งเป็นป่ารกทึบ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของเรือนใกล้สุสานของพระนางมัสสุหรี) พ่อของพระนางฯจึงได้ตัดเอาไม้บริเวณสร้างกระท่อมเล็กๆ เพื่ออยู่อาศัย 

        จนกระทั้งเกิดวิกฤติ ภัยแล้งอย่างหนัก ทั่วทั้งเกาะ ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวบนเกาะแห่งนี้ ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว บ้างก็อพยพหนีไปที่อื่น เทือกสวนไร่นา สัตว์เลี้ยง เสียหายหมด ด้วยความเป็นเด็กฉลาด และได้ยินพ่อแม่เล่าให้ฟังอยู่เสมอว่า ตนเองเป็นเด็กที่มีบุญยาธิการ เด็กหญิงมัสสุรี จึงยกมือสองมือระดับหน้าอก ลักษณะเหนียดหรืออธิฐานจากพระเจ้า(ขอพรแบบอิสลาม) ว่า ?ได้โปรดเถิดพระเจ้า หากข้าพเจ้ามีบุญยาธิการจริงขอพระเจ้าได้ประธานแหล่งน้ำให้ข้าพเจ้าด้วย เถิด? ระหว่างอธิฐานก็ไปสะกิดก้อนกรวดหิน ทำให้พบตาน้ำไหลออกมา จึงรีบไปบอกพ่อและแม่ พ่อจึงลงมือขุดเป็นบ่อน้ำ และ เด็กหญิงมัสสุหรี ขอให้พ่อไปแจ้งให้ชาวบ้านทราบและ กล่าว่าทุกคนในเกาะนี้ สามารถมาตักน้ำไปดื่มกินได้เลย 

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเกาะ มีผู้คนมากมายเข้า ดื่มกินน้ำและนำกลับบ้าน โดยคุณสมบัติพิเศษของน้ำในบ่อแห่งนี้ เมื่อคนไข้นำไปดื่มกิน ก็จะหายจากโรคร้าย จึงลือกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ

        พระนางมัสสุรีนั้น เป็นเด็กที่ขยัน เด็กที่ดีของพ่อแม่ ช่วยเหลืองานบ้านงานเรือน ซื่อสัตย์ เชื่อฟังพ่อแม่ และที่สำคัญไม่เคยพูดโกหก  ทุกวันเมื่อพ่อแม่กลับมาถึงบ้าน มัสสุรีจะถือขันน้ำสำหรับพ่อ และแม่ดื่มเพื่อแก้กระหายในมือข้างขวา ส่วนมือข้างซ้ายมัสสุรีจะถือไม้เรียว สำหรับค่อยรายงานว่าตนเองทำผิดอะไร หรือพ่อจะลงโทษหากพ่อไปได้ยินใครเขาฟ้องอะไรพ่อ ซึ่งเป็นที่ร่ำลือของชาวบ้าน ยามใดที่มีคนยาก หรือขอทานผ่านมา มักจะชวนเข้าบ้าน พูดคุยด้วยโอภาปราสัย ให้ทาน เป็นน้ำ ข้าวปลาอาหารสม่ำเสมอ จนกระทั่งโตเป็นสาว ก็มีรูปสวย งามที่สุดบนเกาะลังกาวี  

        จนในที่สุดความงามและความมีน้ำใจของหญิงไทยผู้นี้ ดังกระฉ่อนไปถึงหูของ"วันดารุส"โอรสของสุรต่านผู้ซึ่งปกครองเกาะลังกาวีแห่ง นี้ ด้วยความสนพระทัย วันดารุสจึงปลอมตัวเป็นขอทาน มาขอข้าวขอน้ำที่หน้าบ้านของพระนางมัสสุรี ก็เช่น พระนางฯก็ต้อนรับขับสู้ เอาน้ำ เอาข้าวปลามาให้สุรต่านในคราบขอทาน จึงเป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่ง วันดารุสทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทั้งสองเกิดความรักซึ่งกันและกัน โดยที่ พระนางมัสสุรี ไม่ล่วงรู้เลยว่า ผู้ชายที่ตนกำลังหลงรักอยู่นั้นคือ รัชทายาทผู้ปกครองเกาะลังกาวี 

        วันดารุสตัดสินใจบอกกับพระมารดา ว่า พบหญิงที่รัก หญิงที่ชอบ และคิดว่าเหมาะสมกับตนแล้ว อยากแต่งงานมีครอบครัวเสียที ขอวอนให้พระมารดาช่วยไปสู่ขอ พระมารดาดีใจมาก เพราะอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีและพระมารดาได้ถามว่า "เธอคนนั้นเป็นลูกเต้าหรือเชื้อพระวงศ์ที่ไหน" วันดารุสเล่าความตามที่เตรียมไว้  และเมื่อพระมารดาทราบว่า เธอเป็นหญิงสาว ลูกชาวบ้าน แถมเป็นคนไทยที่อพยพมาจากภูเก็ต ไม่มีหัวนอนปลายเท้า พระมารดาก็ออกปากปฏิเสธทันที เพราะ เธอเป็นคนไทย หรือเพราะเหตุใด.. 

ในที่สุดเจ้าชายวันดารุส จึงใช้วิธี ยื่นคำขาดกับพระมารดา โดยหากพระมารดาไม่ดำเนินการไปสู่ขอพระนางมัสสุรีตามความต้องการของตน (หลักศาสนาอิสลามผู้ปกครองต้องเป็นผู้สู่ขอให้) มิเช่นนั้น ตนจะปลิดชีพตนเอง  

        พระมารดาด้วยความรักลูก กลัวลูกชายจะฆ่าตัวตาย จึงยินยอมไปสู่ขอพระนางมัสสุรีแต่โดยดี แต่ในใจนั้น ผูกพยาบาทโกรธพระนางมัสสุหรียิ่งนัก  จึงคิดหวังจะกำจัดพระนางฯเมื่อสบโอกาส

        พิธีอภิเษกสมรสเกิดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของชาวเกาะลังกาวี เพราะมีว่าที่พระมเหสีที่สวย และมีน้ำใจ เป็นที่ที่รักของคนทั่วไป ยกเว้นพระมารดา ที่คอยกลั่นแกล้งเสมอ เมื่อวันดารุสไม่อยู่ในวัง ใช้ทำงานสารพัดเพื่อให้สาสมกลับที่แย่งความรักจากวันดารุสไปจากตน

จนกระทั่งพระนางมัสสุรีตั้งครรค์ และคลอดบุตรเป็นชาย วันดารุสดีใจมากที่มีราชทายาทกับพระนางมัสสุรี พร้อมตั้งชื่อว่า ?วันฮาเก็ม?

        วันฮาเก็มคลอดได้เพียง 3 วัน วันดารุสก็ต้องลาไปออกศึก เพราะขณะนั้นเกิดศึกสงครามจากการขยายอำนาจของสยาม เพราะเกาะลังกาวีส่วนหนึ่งของของไทรบุรีประเทศราชของสยาม วันดารุสจึงต้องจัดทัพไปออกศึกในครั้งนั้นด้วย

        ก่อนไป ด้วยความความรักและห่วงใยภรรยาที่กำลังตั้งท้อง วันดารุสจึงได้มอบหมายให้องค์รักษ์คู่ใจ มีฝีมือ และเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ให้มาช่วยรับใช้ พระนางมัสสุรี ระหว่างที่ตนไม่อยู่ โดยประกาศไว้ว่า หากใครกล้าแตะต้องพระนางมัสสุรีกับุตรชาย หรือขัดขวางการทำหน้าที่ขององครักษ์พระนางฯ ผู้นั้นมี โทษประหารสถานเดียว ไม่มีข้อยกเว้น แล้วจึงออกเรือเดินทัพไปร่วมศึกในครั้งนั้น
ด้วยความเกลียดชัง และอิจฉาริษยาของพระมารดา ทันทีที่วันดารุส ออกเรือ พระมารดาจึงประกาศสั่งให้ข้าทาสบริวารในวังทั้งหมด หยุดทำงาน และสั่งให้พระนางมัสสุหรีทำแต่ผู้เดียวทั้งหมด

        ทางด้านพระนางมัสสุหรี แทนที่จะต่อต้าน เพราะเป็นถึงพระมเหสี ด้วยความรักในสามี จึงยอมทำตามคำสั่งของพระมารดาแต่โดยดี แม้องครักษ์จะทัดทาน หรือขออาสาทำงานทุกอย่างแทน ด้วยใจหวังไว้ว่า สักวันความดีจะชนะใจแม่สามีได้ 

        จนกระทั่งฝ่ายองครักษ์ทนดูไม่ได้ จึงก้มลงกราบแทบเท้าพระนาง จะไม่ยอมลุกขึ้น หากพระนางมัสสุรีไม่ยอมให้ช่วยทำงานแทน พระนางฯจึงยินยอมในที่สุด

        ฝ่ายพระมารดาโกรธมาก เมื่อทราบถึงการเข้าช่วยเหลือขององครักษ์ จึงเห็นต้องกำจักทั้งสองคน โดยได้สั่งให้บริวารไปเฝ้าดูเพื่อจับผิด และหาเรื่องใส่ร้ายพระนามมัสสุหรีให้จงได้

        นกระทั่ง วันหนึ่งก็มาถึง พระนางมัสสุหรี เอาผ้าคลุมฮิญาบหรือผ้าคลุมศรีษะ ยื่นให้องครักษ์เช็ดหน้าเช็ดตา ในขณะที่กำลังตรากตรำทำงานหนัก และบริวารสายสืบของพระมารดาเห็นเข้า จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานพระมารดา ซึ่งดีใจมาก พร้อมสั่งให้ทหารไปจับคนทั้งสองและป่าวประกาศไปทั่วเกาะ ว่า พระนามมัสสุรีมีชู้กับองครักษ์ ทำให้เสื่อมเสียงพระเกียรติแก่ราชวงศ์มีโทษประหารด้วยกริช ห้ามใครพูดเข้าข้างพระนางมัสสุรี มิเช่นนั้นจะประหารทันที ส่วนองครักษ์นั้นได้ถูกสั่งประหารด้วยการขุดหลุม แล้วให้ลงไปนอน เอาก้อนหินกระหน่ำปาลงไปจนตาย

        พระนางมัสสุหรีถูกนำตัวมามัดไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง เพชฌฆาตนั้นเมื่อเริ่มลงมือเอากริชแทงพระนางหลายครั้งด้วยน้ำตา แต่กริชไม่สามารถระคายผิว พระนางฯได้เลย พระนางฯจึงกล่าวว่า "กริชประจำตระกูลของพระนางฯเท่านั้นถึงจะฆ่าพระนางได้ และกริชนั่นก็อยู่ที่ บ้านพ่อแม่ของข้าเอง" พระมารดาได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปเอากริช ประจำตระกูลของพระนางฯ ตามที่พระนางฯบอก

        ทางด้านพ่อและแม่ของพระนางฯ เมื่อมีคนของพระมารดาไปขอกริชประจำตระกูล ก็ให้แต่โดยดี ด้วยเพราะทราบดีว่า คงเป็นความประสงค์ของพระนางมัสสุรี ที่จะกู้ศักดิศรี และแสดงความบริสุทธิ์ แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม 
ก่อนที่เพชฌฆาตจะลงมือประหาร พระนางมัสสุหรีจึงกล่าวดังไว้ว่า ฟ้าดินเป็นพยานข้านี้ถูกใส่ร้าย ข้ามิเคยคบชู้สู่ชายแต่อย่างใด หากข้าไม่ผิด ของให้โลหิตเป็นสีขาว และอย่าให้หิตข้าหลั่งลงพื้นดิน ฟ้าดินเป็นพยาน สิ้นคำกล่าวของพระนางฯ เพชฌฆาตก็ลงมือปักกริช ลงตรงคอ เสียงร้องของพระนางดังไปทั่วบริเวณ เลือดสีขาวพระนางฯพุ่งขึ้น เหมือนร่ม โดยไม่ตกลงพื้นแม้แต่หยดเดียว หันไปมองบุตรตัวน้อยวัยสามเดือน ที่ร้องเสียงดัง เหมือนรับรู้ความเจ็บปวดของแม่
  
ก่อนสิ้นใจพระนางฯได้อ้อนวอนขอกอดลูก และขอให้นมบุตรเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระมารดาแม่ผัวผู้ใจดำ แต่พระมารดาฯไม่ยินยอม  พระนางฯจึงสาปแช่งว่า  ?หากนางเป็นผู้บริสุทธิ์ มันผู้ใดที่อยู่บนเกาะลังกาวีจงประสบทุกข์เข็ญนานตราบ 7 ชั่วอายุคน? และบอกพ่อกับแม่ของตนให้เอากล้วยน้ำหว้าป้อนลูกของตนแทนนม แล้วจึงสิ้นใจทาง ด้านวันดารุส ขณะอยู่กลางท้องทะเล ก็นิมิตเห็นภาพพระนางมัสสุหรี เหมือนมาลา จึงประกาศ ?หากใครทำอันตรายพระนางมัสสุหรี จะฆ่าตายให้หมด" พร้อมกับเดินทางกลับทันที

        เมื่อมาถึงเกาะ สภาพเกาะเหมือนเกาะร้าง แทนที่จะมีเสียงประชาชนเข้ามาล้อม โฮ่ร้องต้อนรับ เหมือนวีรบุรุษ เช่นทุกครั้ง แต่กลับเงียบเชียบเหมือนเมืองร้าง ผู้คนไม่รู้หายไปไหนหมด เมื่อกลับไปที่วัง ร้องหาแม่นางมัสสุรีและลูกไม่พบ ก็ใจหาย จึงไปหาที่บ้านพ่อตาแม่ยาย เมื่อย่างก้าวเข้าบริเวณบ้าน  ความรู้สึกเศร้าระงมไปทั่ว แต่ก็กลับดีใจ ที่ได้ยินร้องของเด็ก เมื่อขึ้นไปดู จึงเห็นแต่ลูก และทราบข่าวการตายของพระแม่นางมัสสุรี จากพ่อตาและแม่ยาย 

        วันดารุสเสียใจมาก เพราะคิดไม่ถึงว่า พระมารดาจะฆ่าและทำลายพระนางมัสสุหรี คนที่ตนรักได้อย่างโหดเหี้ยมได้ลงคอ พระองค์จึงตัดสินใจสละสิทธิ์รัชทายาทราชบันลังก์ แล้วหอบลูกและกริช กลับไปยังบ้านเกิดของพระนางมัสสุหรี คือภูเก็ต 


หาดทรายเปลี่ยนเป็นสีดำ หลังจากนำศพของ พระนางมัสสุหรี ไปฝัง

        ส่วนพระมารดาเมื่อสิ้นชีวิต พระศพก็ไม่สามารถฝั่งที่ใดได้เลย บนเกาะลังกาวี ฝังที่ใดทรายก็จะดันขึ้นมาเสมอ จนกระทั่ง ต้องไปกลับทำพิธีบนบานที่สุสานพระนางมัสสุหรี จึงสามารถนำพระศพไปฝั่งไว้ที่บริเวณหาดทราย และสีของหาดทรายกลายเป็นสีดำในทันที หลังจากที่ฝั่งเสร็จ....
    

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน