Custom Search

เปิดใจนักศึกษาแพทย์ไทยในอู่ฮั่น กับชีวิตท่ามกลางวิกฤติ โคโรนาไวรัส

เปิดใจนักศึกษาแพทย์ไทยในอู่ฮั่น
กับชีวิตท่ามกลางวิกฤติ 'โคโรนาไวรัส'
นักศึกษาไทยในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งใช้ชื่อว่า บดีภัค เกาสละ (Badeephak Kaosala) กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านทางสไกพ์ เล่าถึงการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองอู่ฮั่นซึ่งถูกปิดตายในขณะนี้ ขณะที่กำลังรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยเพื่อช่วยนำตนและนักศึกษาไทยคนอื่น ๆ ที่ยังติดค้าง ออกไปจากศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 80 คนในประเทศจีน

"ทุกที่ที่ไป คุณจำเป็นต้องตระหนักไว้เสมอว่าต้องพยายามไม่ให้ไปแตะตัวผู้อื่น ต้องเว้นระยะห่างกับคนอื่นที่เดินข้าง ๆ กัน โดยเฉพาะเวลาที่คนเหล่านั้นไอ จาม หรือแม้กระทั่งหายใจ"

นักศึกษาแพทย์ชาวไทยวัย 23 ปี
กล่าวกับรอยเตอร์

บดีภัค ซึ่งศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ถงจี้ ในเมืองอู่ฮั่น กล่าวว่า ขณะนี้เป็นเรื่องยากที่จะหาอาหารเพื่อดำรงชีพในเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นไข่หรือนม ที่ล้วนขายหมดเกลี้ยงในแทบทุกร้านที่ไป เพราะดูเหมือนผู้คนในเมืองต่างกักตุนอาหารเหล่านั้นไปหมดแล้ว "ถนนหนทางต่างไม่มีรถวิ่ง นาน ๆ จะมีรถสักคันผ่านไปเพื่อซื้อยาหรือไปโรงพยาบาล" เขาเล่าถึงสภาพการณ์ของเมืองที่มีประชากรราว 11 ล้านคนแห่งนี้​
บดีภัค บอกว่า ตนต้องการเดินทางกลับประเทศไทย แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกมากนักเนื่องจากการคมนาคมจากเมืองอู่ฮั่นถูกปิดตาย เที่ยวบินเข้าและออกต่างถูกระงับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ทางเลือกเดียวตอนนี้คือต้องรอต่อไป
ถนนหนทางต่างไม่มีรถวิ่ง นาน ๆ จะมีรถสักคันผ่านไปเพื่อซื้อยาหรือไปโรงพยาบาล

นักศึกษาไทยในเมืองอู่ฮั่น
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า รัฐบาลไทยได้เตรียมเครื่องบินทหารเพื่อใช้ขนส่งพลเมืองชาวไทยออกจากเมืองอู่ฮั่น แต่นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนให้ส่งเครื่องบินเข้าไป กระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า มีชาวไทยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น 64 คน ส่วนสถานทูตไทยในกรุงปักกิ่งระบุว่า

มีคนไทยในมณฑลหูเป่ยซึ่งอู่ฮั่นเป็นเมืองหลวง ทั้งหมดประมาณ 118 คน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีประยุทธ์กล่าวว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ที่เมืองอู่ฮั่นยังคงต้องการอยู่ที่นั่นต่อไป แต่บดีภัค มั่นใจว่าคนไทยที่อู่ฮั่นราว 70-80% ต้องการออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย นักศึกษาไทยผู้นี้บอกด้วยว่า

 "ตอนนี้อู่ฮั่นไม่ต่างจากเมืองร้าง
แต่อย่างใด"

บดีภัค เกาสละ' นักศึกษาแพทย์ไทย
ที่ Tongji Medical College ในเมืองอู่ฮั่น ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอไทย ถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา การรับมือและผลกระทบต่อชีวิตนักศึกษาไทยที่กำลังรอให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินมารับกลับบ้าน
นักศึกษาไทยในเมืองอู่ฮั่น ร้องขอความช่วยเหลือกับสำนักข่าวต่างชาติเล่าถึงการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองอู่ฮั่นแม้จะอยากเดินทางกลับประเทศไทย แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกนื่องจากการคมนาคมจากเมืองอู่ฮั่นถูกปิดตาย เที่ยวบินเข้าและออกต่างถูกระงับทางเลือกเดียวตอนนี้คือต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย

เครื่องบินทหารสหรัฐฯ ตกในอัฟกานิสถานคาดไม่มีผู้รอดชีวิต


กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่า เครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งใช้ในกิจการการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองในสนามรบ ตกในพื้นที่ที่อยู่ในการครอบครองของกลุ่มทาลีบานในอัฟกานิสถาน
เสนาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ พลเอกเดฟ โกลด์ไฟน์ กล่าวว่า เครื่องบินที่ตกคือรุ่น E-11A ซึ่งติดตั้งเครื่องมือสื่อสารแบบ Battlefield Airborne Communications Node (BACN)

ขณะที่โฆษกกองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน ระบุว่าไม่มีปัจจัยบ่งชี้ว่าเครื่องบินลำนี้ถูกศัตรูยิงตกแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ กลุ่มทาลีบานในอัฟกานิสถานมีคำแถลงว่า "เครื่องบินสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ ตกในเขตเดห์แย็ก จังหวัดกาซนี ในช่วงเวลาประมาณเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่น

เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทุกคนบนเครื่องบินลำดังกล่าวเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอ
โดบพบร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นกระจัดกระจายไปกับเศษชิ้นส่วนเครื่องบินอย่างไรก็ตาม แถลงการณ์
ดังกล่าวซึ่งปรากฎทางทวิตเตอร์
ไม่มีหลักฐานประกอบคำกล่าวอ้างนี้แต่อย่างใด

ด้านเจ้าหน้าที่องค์การกาชาดสากลในจังหวัดกาซนี กล่าวกับวีโอเอว่า คาดว่ามีผู้เสียชีวิต 5 คนในเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนี้ แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดอื่น ๆ ขณะที่นายอับดุล จามี จามี สมาชิกสภาจังหวัดกาซนี บอกว่า หลังจากเครื่องตกราวหนึ่งชั่วโมง มีเฮลิคอปเตอร์ทหารต่างชาติหลายลำบินมาถึงยังจุดเกิดเหตุเพื่อตรวจสอบความเสียหาย และจากไปในเวลาไม่นานก่อนที่ทหารอัฟกานิสถานจะ มาถึง

ชาวบ้านขุดพบซากวัตถุประหลาด คล้ายฟอสซิลงูยักษ์!!!

สำนักข่าวซินหัวประจำนครคุนหมิงรายงานว่า  ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพวัตถุคล้าย "ฟอสซิลมังกร" ที่ขุดพบบริเวณริมแม่น้ำเล็กๆ
ในหมู่บ้านเหลาฉ่าง ตำบลผิงซ่าง อำเภอเจิ้นสยง นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน 
ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก...       
สำนักข่าวซินหัวประจำนครคุนหมิงรายงานว่า วันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพวัตถุคล้าย “ฟอสซิลมังกร” ที่ขุดพบบริเวณริมแม่น้ำเล็กๆ ในหมู่บ้านเหลาฉ่าง ตำบลผิงซ่าง อำเภอเจิ้นสยง นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก จากนั้นได้มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเผยว่า มันไม่ใช่ “ฟอสซิลมังกร” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นส่วนลำต้นของซากดึกดำบรรพ์ของไม้ที่กลายเป็นหิน ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในไฟลัมไลโคไฟตา (Division Lycophyta) ที่มีชีวิตอยู่ในปลายยุคเพอร์เมียน (Permian) เมื่อ 250 ล้านปีก่อน      
จากภาพเผยให้เห็นชิ้นส่วนที่มีความยาวประมาณ 130 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 17 ซม. มีสีดำและแข็ง ส่วนของ “เกล็ด” มีผิวเรียบและเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้ชาวบ้านบางคนเดาว่ามันเป็นฟอสซิลของงูหลามยักษ์ บ้างก็บอกว่ามันคือ “ฟอสซิลมังกร”     

ศ.เฝิงจัว อาจารย์พิเศษห้องปฏิบัติการหลักสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์ศึกษาระดับปริญญาเอกของ ม.ยูนนาน อธิบายว่า
สิ่งที่ชาวบ้านขุดพบนั้นเป็นซากดึกดำบรรพ์ของไม้กลายเป็นหินที่พบได้ทั่วไป เป็นพืชชนิดหนึ่งในไฟลัมไลโคไฟตาที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และเคยอยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) และยุคเพอร์เมียน (permian) จึงนับว่ามีความสำคัญต่อโลกในฐานะซากพืชที่ตกตะกอนและกลายเป็นถ่านหิน      
โดยซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหินนี้ มีอายุราว 350 – 250 ล้านปีก่อน อยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) และยุคเพอร์เมียน (permian) สามารถเจริญเติบโตได้จนมีลักษณะสูงใหญ่ อาจสูงได้เกือบ 50 เมตร เมื่อใบร่วงโรยแล้ว ผิวของลำต้นจึงทิ้งรอยตาของต้นไม้เอาไว้ ทำให้มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดปลาและงู

ธุรกิจเลี้ยงแมลงสาบเป็นอาหารสัตว์กำลังทำรายได้มหาศาลในจีน


ธุรกิจเพาะเลี้ยงแมลงสาบเป็นกิจการที่หลายคนขยะเเขยงไม่อยากเข้าใกล้ แต่ในประเทศจีน การเลี้ยงเเมลงสาบ แมลงซึ่งพบได้ทุกหนทุกแห่ง กำลังกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาล
ที่บริษัท Gooddoctor ในประเทศจีน มีการเพาะเลี้ยงแมลงสาบสายพันธุ์อเมริกันเพื่อใช้ในผลิตเป็นยาจีนแผนโบราณ
Wen Jiangguo เจ้าหน้าที่บริษัท Gooddoctor ประจำจุดเพาะเลี้ยงแมลงสาบกล่าวว่าจุดเพาะเลี้ยงนี้เลียนแบบสภาพที่อยู่อาศัยของเเมลงสาบสายพันธุ์อเมริกัน เเมลงสาบพันธุ์นี้
ชอบอาศัยในที่ที่มีซอกหลืบ
ทางบริษัทจึงสร้างที่เพาะเลี้ยงเเมลงสาบที่เรียกว่า chips ขึ้นมาใช้งานเป็นการเฉพาะโดยทำขึ้นจากแผ่นไม้เชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยมีช่องว่างระหว่างแผ่นไม้เพื่อให้แมลงสาบเข้าไปอาศัยและเพาะพันธุ์

ทางบริษัทสกัดสารที่ทางบริษัทเรียกว่า 'essence' จากตัวเเมลงสาบที่เพาะเลี้ยงเเละนำไปขายในรูปของยาบำบัดแผลในสำไส้เเละแผลบนผิวหนัง
ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานว่าที่บริษัทเเห่งนี้ การเพาะเลี้ยงแมลงสาบเป็นวิธีหลีกเลี่ยงข้อห้ามใช้ขยะอาหารเป็นอาหารสัตว์ โดยขยะอาหารถูกนำไปเลี้ยงแมลงสาบเเละแมลงสาบจะกลายเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในอาหารสัตว์ที่เต็มไปด้วยโปรตีน
ลี หงยี จากบริษัท Shandong Qiaobin กล่าวว่าแมลงสาบช่วยกำจัดขยะอาหารได้อย่างรวดเร็วและแมลงสาบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารที่ใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์ที่เต็มไปด้วยโปรตีน วิธีนี้เป็นการแปลงขยะให้เป็นสินค้าหรือทรัพยากร
เนื่องจากไม่มีใครอยากมีแมลงสาบเข้าไปอาศัยในบ้าน สถานที่เพาะเลี้ยงเเมลงสาบนี้จึงสร้างขึ้นเหมือนกับเรือนจำ มีการสร้างคูเมืองขึ้นรอบๆ เต็มไปด้วยปลาที่ชอบกินแมลงสาบเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงสาบเล็ดลอดออกไปได้
อย่างไรก็ตาม มีนักธุรกิจชาวจีนคนหนึ่งที่เพาะเลี้ยงแมลงสาบเพื่อขาย โดยโฆษณาว่าเป็นแหล่งโปรตีนเเละใช้ปรุงอาหารสำหรับคนได้
Li Bingcai นักธุรกิจเลี้ยงแมลงสาบที่หมู่บ้าน Deng กล่าวว่าคนรู้สึกประหลาดใจที่ตนเองหันมาทำธุรกิจนี้ พวกเขาสงสัยว่าทำไมจึงเลิกธุรกิจเดิม เเล้วหันมาเลี้ยงแมลงสาบ
เขามองว่าธุรกิจเพาะเลี้ยงแมลงสาบ
มีประโยชน์มากต่อสังคมเเละเศรษฐกิจ เขาต้องการเป็นผู้นำทางแก่
ชาวบ้านคนอื่นๆ
ที่ต้องการสร้างรายได้และขณะที่ แมลงสาบใช้เป็นอาหารของคนได้ ฟาร์มเลี้ยงเเมลงสาบเล็กๆ แห่งนี้ของเขายังขายแมลงสาบที่เพาะเลี้ยงได้ให้กับเกษตรกรเลี้ยงสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ชี้ ภาวะโลกร้อนในยุคโบราณ มีส่วนให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์

ทีมนักวิจัยในสหรัฐฯ พบหลักฐานว่าภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ในยุคโบราณกับเหตุลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลกมีส่วนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ไดโนเสาร์ครองโลกนานเกือบ 160 ล้านปี แต่เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วในช่วงตอนปลายของยุคครีเทเชียส ไดโนเสาร์ได้สาบสูญไปจากโลก การสาบสูญของไดโนเสาร์เกิดขึ้นภายหลังอุบัติการณ์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงสองเหตุการณ์
อย่างแรกคือการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ Deccan Traps ซึ่งเป็นเทือกเขาที่กลายเป็นอินเดียในปัจจุบัน ภูเขาไฟระเบิดครั้งนั้นปล่อยเเก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สซัลเฟอร์ออกมาปริมาณมหาศาล ในระดับที่เป็นอันตรายสู่ชั้นบรรยากาศโลก
และอีก 150,000 ปีให้หลัง ลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่มีความกว้างถึง 12 กิโลเมตรพุ่งเข้าชนโลกที่ชายฝั่งของประเทศเม็กซิโก ทำให้เกิดเมฆฝุ่นและหินขนาดใหญ่ที่บดบังเเสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องลงมาถึงโลก
บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างถกเถียงกันมานานหลายสิบปีแล้วว่า เหตุการณ์ใดในสองเหตุการณ์ดังกล่าวที่เป็นมหันตภัยแก่ไดโนเสาร์มากกว่ากัน แต่หากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยัน การถกเถียงกันนี้ยังจะเป็นเพียงแค่แนวคิดทางทฤษฎีเท่านั้น
มาถึงขณะนี้ มีการค้นพบซากฟอสซิลชิ้นเล็กๆ ของหอยนางรมบนเกาะในมหาสมุทรแอนตาร์ติกาที่ใกล้กับติ่งใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คำตอบแก่ทฤษฎีที่ถกเถียงกันอยู่นี้
บรรดานักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานมากมาย จากทั้งเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่กับลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสองเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดห่างกันเพียงเเค่ 150,000 ปี ทำให้ชั้นหินสั่งสมของซากพืชซากสัตว์จากทั้งสองเหตุการณ์มีความใกล้กันมาก ทำให้ยากแก่การแยกว่าอะไรเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์
แต่คุณ Sierra Petersen ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะอากาศโลกในยุคโบราณแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า ที่เกาะ Seymour Island พบว่าชั้นหินสั่งสมซากพืชซากสัตว์จากเหตุการณ์สองครั้งอยู่แยกกันเป็นระยะทาง 40 เมตร ช่วยให้ทีมงานสามารถแยกแยะผลกระทบต่อสภาวะทางอากาศของสองเหตุการณ์ออกจากกันได้
คุณ Andrea Dutton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Florida กล่าวว่า จากการค้นพบนี้ช่วยให้สามารถยืนยันได้ว่า 
ทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของภูเขาไฟระเบิดกับลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลกเป็นทฤษฎีที่ถูกต้องทั้งสองอย่าง
ในตอนที่คุณ Dutton เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เธอได้พยายามใช้ฟอสซิลเปลือกหอยจากเกาะ Seymour Island เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลกในยุคโบราณ เทคนิคที่เธอใช้ช่วยวัดระดับอ็อกซิเจนในโมเลกุลของฟอสซิล แต่ตัวเลขที่เธอได้จากการศึกษา ต้องใช้ระดับอุณหภูมิและปริมาณเกลือที่ผสมในน้ำที่เป็นส่วนหนึ่งในเปลือกหอยเป็นตัววัด จึงยากต่อการสรุปผลออกมาในตอนนั้น ทำให้ฟอสซิลเปลือกหอยถูกเก็บเข้าตู้
จนกระทั่งคุณ Petersen สามารถคิดค้นเทคนิคใหม่ขึ้นมาได้ โดยเทคนิคใหม่นี้ช่วยวิเคราะห์ชนิดโมเลกุลของคาร์บอนในเปลือกหอย ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับอุณหภูมิของน้ำในช่วงที่ชั้นของเปลือกหอยบางชั้นถูกสร้างขึ้น
ดังนั้น จึงเป็นครั้งเเรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาระดับอุณหภูมิในช่วงที่ไดโนเสาร์ใกล้สาบสูญจากโลก และนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าจากหลักฐานเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ได้ ชี้ว่าโลกร้อนขึ้นถึงสองเท่าตัวในตอนนั้น เรียกได้ว่าเป็น "ภาวะโลกร้อนในยุคโบราณ"
คุณ Peterson อธิบายว่า หลักฐานชี้ระดับอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงที่ภูเขาไฟ Deccan Traps ในอินเดียระเบิด และเมื่อลูกอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลก ระดับอุณหภูมิโลกก็เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ถือเป็นเหตุการณ์แบบผีซ้ำด้ำพลอย
เพราะหลังจากไดโนเสาร์เจอกับสภาพฝนกรด ฝุ่นผงอันตรายจากภูเขาไฟระเบิด มันต้องประสบกับสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นเท่าตัวหลังลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลกซ้ำเติมรอบสอง
คุณ Andrea Dutton ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัย Florida อธิบายว่า สัตว์และพืชเคยประสบกับสภาพที่อุณหภูมิร้อนมากขึ้นมาก่อนหน้านี้ในช่วงยุคครีเทเชียส แต่หลังจากลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลก อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนพืชและสัตว์ปรับตัวไม่ทัน
คุณ Dutton เน้นย้ำว่า ทีมนักวิจัยไม่ได้ชี้ว่าอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้พืชเเละสัตว์ในยุคนั้นล้มตาย แต่มีส่วนให้สถานการณ์เลวร้ายลง และอาจมีส่วนให้เกิดการสาปสูญของไดโนเสาร์
อย่างไรก็ดี คุณ Petersen สมาชิกทีมวิจัยชี้ว่า เราควรใส่ใจในผลการศึกษาของทีมงานครั้งนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications 
เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศโลกอย่างรวดเร็วในยุคครีเทเชียส มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
เธอกล่าวว่าเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่ตามมาด้วยลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลก มีผลกระทบรุนแรงต่อสภาพเเวดล้อมในยุคครีเทเชียส เช่นเดียวกับที่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกมีผลต่อสิ่งเเวดล้อมในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราได้เห็นการสาบสูญของสัตว์บางชนิดไปแล้ว และยังมีผลกระทบต่อสภาพเเวดล้อมอย่างมาก
และเธอหวังว่าเราจะไม่เจอกับเหตุการณ์ลูกอุกกาบาตพุ่งชนโลกซ้ำอีกในอนาคต!

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน