Custom Search

นักวิทยาศาสตร์แนะนำเทคนิค กะพริบตาช้า ๆช่วยผูกมิตรกับแมว

ค้นหา
Custom Search

นักวิทยาศาสตร์แนะนำเทคนิค "กะพริบตาช้า ๆ" ช่วยผูกมิตรกับแมว

หลายคนอาจมีความรู้สึกว่าแมวเป็นสัตว์รักสันโดษ และมีนิสัยเจ้าอารมณ์จึงทำให้ผูกมิตรด้วยได้ยาก แต่ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิทยาศาสตร์จากอังกฤษได้พบว่าการ "กะพริบตาช้า ๆ" เป็นการ "ส่งยิ้มแบบแมว" หรือการสื่อภาษากาย เพื่อสื่อสารเชิงบวกและช่วยเสริมสร้างมิตรภาพกับเหล่าแมวเหมียว

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัท และมหาวิทยาลัยซัสเซกส์ ตีพิมพ์ผลการศึกษาชิ้นนี้ในวารสาร Scientific Reports โดยระบุว่า การกะพริบตาอย่างเชื่องช้าให้แมว ในลักษณะคล้ายกับการหรี่ตาเวลาที่เรายิ้ม จากนั้นก็หลับตาค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของแมวเวลาที่พวกมันต้องการแสดงความเป็นมิตร เทียบเท่ากับการยิ้มของมนุษย์

ทีมนักวิจัยศึกษาเรื่องนี้โดยการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของแมว 21 ตัว ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของอาสาสมัคร 14 ครอบครัว แล้วสอนการกะพริบตาอย่างช้า ๆ ที่ถูกต้องให้แก่บรรดาเจ้าของ

ผลที่ได้พบว่า แมวมักกะพริบตาช้า ๆ เป็นการ "ส่งยิ้มแบบแมว" ตอบโต้กับเจ้าของ หลังจากที่เจ้าของกะพริบตาอย่างเชื่องช้าให้พวกมัน

นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังทำการทดลองที่สองกับแมวตัวอื่นอีกจำนวน 24 ตัว โดยให้คนแปลกหน้ากะพริบตาช้า ๆ ให้แมว แล้วค่อยยื่นมือออกไปหาพวกมัน

ผลปรากฏว่า แมวมักจะเข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากกว่า เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาทำหน้าตาเรียบเฉย แล้วยื่นมือไปหาแมว

ทีมนักวิจัยชี้ว่า นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการกะพริบตาช้า ๆ เป็นรูปแบบหนึ่งของ "การสื่อสารเชิงบวก" ของแมว

ศาสตราจารย์คาเรน แม็คโคมป์ หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซัสเซกส์ กล่าวว่า "มันเป็นอะไรที่คุณสามารถทดลองด้วยตัวเองกับแมวที่บ้านหรือแมวที่คุณพบเจอตามท้องถนน และมันเป็นวิธีอันยอดเยี่ยมในการที่คุณจะผูกสัมพันธ์กับแมว"

"ลองหรี่ตาใส่แมว แบบเดียวกับเวลาที่คุณยิ้มอย่างผ่อนคลาย จากนั้นหลับตาค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วคุณจะพบว่าพวกมันจะตอบสนองกลับแบบเดียวกัน และพวกคุณก็จะสามารถเริ่มต้นการสื่อสารกันในอีกรูปแบบหนึ่ง"

ขณะที่ ดร.ทาสมิน ฮัมฟรีย์ นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมสัตว์จากมหาวิทยาลัยซัสเซกส์ หัวหน้าทีมวิจัยชิ้นนี้ อธิบายว่า การที่แมวแสดงการกะพริบตาช้า ๆ อาจเป็นเพราะมนุษย์เรามองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นพฤติกรรมเชิงบวก

"แมวอาจเรียนรู้ว่ามนุษย์ให้รางวัลแก่พวกมันเวลาที่มันกะพริบตาช้า ๆ"

นอกจากนี้ ดร.ฮัมฟรีย์ ยังสันนิษฐานว่า "เป็นไปได้ว่าการที่แมวกะพริบตาช้า ๆ อาจเป็นวิธีในการหยุดจ้องตาอีกฝ่ายนาน ๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกัน"

นักวิจัยหวังว่า ผลการศึกษาชิ้นนี้จะช่วยให้คนเราเข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์ของแมวได้ดีขึ้น

"ผลการค้นพบของเราอาจนำไปใช้ในการประเมินสวัสดิภาพของแมวในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ในการตรวจรักษาของสัตวแพทย์ หรือตามสถานสงเคราะห์สัตว์" ดร.ฮัมฟรีย์ กล่าว

พบกับชาวบาเจาชนเผ่าที่ใช้ชีวิตในทะเลร่วมพันปี จนร่างกายวิวัฒนาการเหนือมนุษย์

พบกับ “ชาวบาเจา” ชนเผ่าที่ใช้ชีวิตในทะเลร่วมพันปี จนร่างกายวิวัฒนาการเหนือมนุษย์
ค้นหา
Custom Search
นี่คือชนเผ่า “บาเจา” (Bajau) ที่มีฉายา “ผู้เร่ร่อนแห่งท้องทะเล” (Sea Nomads) โดยพวกเขาอาศัยอยู่กลางทะเลมานานนับ 1,000 ปี จนร่างกายเกิดวิวัฒนาการทำให้สามารถดำน้ำได้นานกว่ามนุษย์ทั่วไปถึง 3 เท่า ซึ่งนี่เป็นความสามารถพิเศษที่ถูกจำกัดและเกิดขึ้นเฉพาะกับคนในชนเผ่านี้เท่านั้น

จากสารคดี Human Planet ของ BBC ได้ถ่ายทอดชีวิตของชาวบาเจาคนหนึ่งชื่อว่า เซาบิน (Sulbin) เขาสามารถดำน้ำได้นาน 3 นาที ต่อหนึ่งลมหายใจขณะเคลื่อนไหว แต่คนที่อึดที่สุดสามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 5 นาที (ปกติมนุษย์ทั่วไปสามารถดำน้ำได้นานเฉลี่ยเพียง 30-40 วินาทีเท่านั้น) 

พวกเขาอาศัยอยู่บนบ้านกลางทะเลในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเดินทางย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ จะขึ้นฝั่งก็ต่อเมื่อต้องขายปลา , ซื้อของใช้จำเป็น , หลบภัยจากพายุกลางทะเล หรือเมื่อต้องทำพิธีฝังศพเท่านั้น

ปกติแล้วชาวบาเจาจะใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงในการดำน้ำเพื่อหาอาหารในแต่ละวัน ซึ่งแต่ละครั้ง พวกเขาจะดำลึกลงไปกว่า 70 เมตร ด้วยวิธีการดำน้ำแบบตัวเปล่า (Free-Driving) ไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ช่วยทั้งสิ้นจะมีแต่เพียงแว่นตาดำน้ำพร้อมฉมวกแทงปลาที่ทำจากไม้เท่านั้นและสกิลที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น

ดร.เมลิสซา อิลาร์โด (Melissa Ilado) นักวิจัยพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้ทำการสแกนร่างกายของชาวบาเจา 59 คน ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์แบบพกพา ซึ่งพบว่าพวกเขามีอวัยวะม้ามใหญ่กว่าคนทั่วไปถึง 50% รวมถึงยังใหญ่กว่าชาวซาลวน (Saluan) ชนเผ่าที่อยู่ใกล้ชิดกับทะเลด้วยตัวเลขเดียวกัน

ซึ่งงานวิจัยยังบอกอีกว่า แม้กระทั่งร่างกายของเด็กในชนเผ่าที่ไม่ค่อยได้ดำน้ำเลย ยังพบว่าเด็กเหล่านี้มีขนาดม้ามที่ใกล้เคียงกันกับผู้ใหญ่ทั่วไปที่ดำน้ำเป็นประจำ ทำให้ทีมวิจัยสามารถสรุปว่า ขนาดของม้ามที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาไม่ได้เกิดจากการฝึกฝน แต่เกิดจาก “การวิวัฒนาการของร่างกาย” ซึ่งจากบันทึกการมีอยู่ของชาวบาเจาที่เริ่มขึ้นเมื่อ 1,000 ปี ระยะเวลานี้เพียงพอที่จะทำให้การวิวัฒนาการเกิดขึ้นได้

ม้ามเกี่ยวอะไรกับการดำน้ำ ? ตอบ :  ม้ามเปรียบเสมือนถังเก็บออกซิเจนสำรอง เพราะเมื่อเราหยุดหายใจ-ปอดจะหยุดการทำงาน-ม้ามจะทำการบีบตัวและส่งเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนอยู่มากออกไปเพื่อเพิ่มออกซิเจนในร่างกายขณะที่ปอดหยุดทำงาน-ซึ่งการที่มีม้ามใหญ่ก็จะช่วยให้กลั้นหายใจได้นานขึ้นนั่นเอง (คอมโบปอดและม้าม)

จากการเช็คข้อมูลล่าสุด ปัจจุบันพวกเขาเลือกได้เลือกตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ตามชายฝั่งประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งตอนนี้มีประชากรอยู่ในชนเผ่ารวมแล้วกว่า 1 ล้านคน (แต่ส่วนมากอยู่ตามชายนะจ๊ะ)

Fact – สติก เซเวรินเซน (Stig Severinsen) นักดำน้ำชาวเดนมาร์ก สามารถกลั้นหายใจทำสถิติโลกได้นานถึง 22 นาที (ไม่เคลื่อนไหว) โดยก่อนจะเริ่มทำสถิติโลก เขาใช้วิธีหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายให้มากที่สุดด้วยการหายใจเป็นจังหวะเร็วและลึกนานเกือบ 20 นาที 
ซึ่งจะทำให้ร่างกายอิ่มตัวด้วยออกซิเจน และช่วยขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตกค้างออกจากปอดได้มากที่สุด (เทคนิคนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ Breatheology – วิชาการหายใจซึ่งสติกเจ้าของสถิติโลกเป็นคนเขียนเองครับ)

พญางูคูคุลคันกับรหัสลับชาวมายา


ค้นหา
Custom Search
พญางูคูคุลคันกับรหัสลับชาวมายา
ทุก วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันวสันตวิษุวัต(Vernal equinox) คือ เวลากลางวันยาวเท่ากับเวลากลางคืน ในหน้าเปลี่ยนฤดู จะมีปรากฏการณ์รวมตัวกันอย่างน่าประหลาดของฝูงชน เพราะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ “การมาเยือนของพญางูยักษ์” 

โดยพญางูนี้มีชื่อเรียกว่า “คูคุลคัน (Kukulcan)” เป็นพญางูที่มีขนเหมือนนก เทียบได้กับ “เควทซัลโคทล์ (Quetzalcoatl)” ของชาวแอซเท็ค ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกับอยู่บ่อย ๆ

พญา งูคูคุลคันนี้ แม้จะพูดกันว่ามีพิษเทียบสุริโย แต่กลับเป็นงูใหญ่ใจดี บรรดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผืนแผ่นดินและไร้ข้าวโพดทั่วราชอาณาจักร ชาวมายาจึงถือเอาวันแรกของปีที่ได้เห็นพญางูยักษ์ เป็นวันเริ่มการเพาะปลูก ไถหว่าน และทำการเกษตรต่าง ๆ

การ เสด็จมาของพญางูยักษ์คูคุลคันนี้ นับเป็นภูมิปัญญาชั้นสูงของชาวมายา งูยักษ์นี้ทอดตัวไปตามด้านข้างของบันไดพีระมิด(หางอยู่ด้านบน หัวอยู่ด้านล่าง) และพวกเขารู้ว่า หากสร้างพีระมิดตามแนวทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก ธรรมดาแล้ว จะไม่มีทางเห็นพญางูเสด็จมาอย่างแน่นอน 

จึงวางแปลนของพีระมิดให้เบี่ยงออก พอให้มีแสงลอดมาส่องที่บรรไดข้างหนึ่ง ซึ่งมีหัวสลักเป็นงูหินได้อย่างพอดิบพอดี จึงทำให้เห็นคล้ายว่างูทั้งตัวกำลังเลื้อยลงมา พร้อมกับแสงเรืองรองสมกับที่เป็นงูเทพ เป็นบทพิสูจน์ว่าสถาปนิกในยุคนั้นไม่ธรรมดาทีเดียว

การ เล่นแสงที่ทำให้เหมือนมีงูยักษ์เคลื่อนตัวผ่านมายังผืนโลกนั้นยังเห็นได้จน ทุกวันนี้ เป็นสัญญาณให้เริ่มทำการเพราะปลูกพืชไร่ที่หลับไหลมาตลอดฤดูหนาว

นอก จากเรื่องของงูยักษ์แล้ว ชาวมายายังมีรหัสลับอย่างอื่นอีกมาก โดยที่สำคัญถัดมาคือหอศิลาสูง เจาะช่องเล็กเสียจนมองดูน่าอึดอัด ต่อมาจึงได้พบว่าหอนี้มีไว้สำหรับให้องค์กษัริย์มายากระทำพิธีอัน ศักดิ์สิทธิ์ และให้บรรดาโหราจารย์ใช้เป็นที่ดูดาว คำนวณศุภฤกษ์สำหรับราชพิธีต่าง ๆ หอนั้นจึงมีชื่อเรียกกันในหมู่มังคุเทศก์ท้องถิ่นว่า “หอดูดาว (Observatory)”

ความ รู้ทางด้านดาราศาสตร์ของชาวมายาไม่ใช่ความรู้เพียงพื้น ๆ เท่านั้น แต่เป็นความรู้ขั้นละเอียดจนน่าอัศจรรย์ พวกเขากำหนดปฏิทินให้ปีหนึ่งมี 365.24 วัน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงมาก และพวกเขาคำนวณได้ก่อนนักดาราศาสตร์ยุคปัจจุบันนับพันปี จึงนับเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่น่าทึ่งมาก...

เมื่อ เรามองลึกลงไปถึงปราสามน้อยแห่งชิเช็นอิทซ่า ซึ่งมีนักโบราณคดีนานาชาติมาขุดกันอยู่บ่อยครั้ง รอบ ๆ เป็นอุโมงค์ขนาดเล็กทอดยาวไปสู่ใจกลางของพีระมิด และด้านในสุดเป็นผนังหินปูขาวรุ่นแรกสุดที่ใช้วางรากฐานของวิหารแห่งนี้ ที่หัวใจของพีระมิดพบสุสานส่วนตัวของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนอนทอดร่างอยู่พร้อม กับทรัพย์ศฤงคารมากมาย อันประกอบด้วยหยกเขียวน้ำดีน้อยใหญ่ ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้คืออดีตกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของชาว มายา ในช่วยศตวรรษที่ 8-9

อย่าง ไรก็ตามนักโบราณคดียังคงไม่หยุดการค้นหาแหล่งน้ำ ด้วยเชื่อว่าเมื่อมีมนุษย์ก็ต้องมีน้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิต และจากการค้นหาแทบพลิกแผ่นดิน ก็ได้พบหมู่บ้านคนงานแห่งหนึ่งที่เหลือเพียงฐานอิฐ แต่ส่วนบนซึ่งคาดว่าน่าจะทำด้วยไม้นั้นได้ผุพังไปหมดแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบซากปรักของแอ่ง 

ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มาก่อน (เมื่อสี่ร้อยปีที่ผ่านมา) และที่สำคัญคือ ไม่ได้พบเพียงบ่อเดียว แต่พบถึงสามบ่อด้วยกัน ไล่ชั้นลดหลั่นกันไปจากบนลงล่าง

เมื่อ ขุดลงไปถึงก้นของแอ่งนั้นก็ได้พบส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งติดพลั่วมา นั่นคืออิฐขาวที่ทำด้วยมือ บ่งชี้ว่ามีการปูก้นบ่อด้วยหินปูนขาวเพื่อกักเก็บน้ำไว้ นักโบราณคดีจึงส่งตัวอย่างของดินจากก้นบ่อทั้งสามไปตรวจสอบที่ห้องแล็บ ปรากฏว่าพบธาตุ ฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุอนินทรีย์อื่น ๆ ที่เป็นของเฉพาะสำหรับบ่อน้ำอุปโภคบริโภค

อย่าง ไรก็ดี เมื่อตรวจอย่างละเอียดแล้ว พบว่าบ่อที่สามซึ่งอยู่ล่างสุดของเมือง มีสิ่งประหลาดคือ มีสารอินทรีย์อยู่มาก พร้อมทั้งปีกแมลงและสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ จึงได้ข้อสรุปว่า บ่อที่สามนี้เป็นบ่อรวมน้ำทิ้งจากบ่อที่หนึ่งและสองด้านบน จึงทำหน้าที่คล้ายกับบ่อเกรอะ และที่น่าสงสารคือ ดูเหมือนว่าบ่อนี้จะถูกใช้โดยชนชั้นล่างสุดของเมือง ส่วนบ่อชั้นบนมีไว้สำหรับกษัตริย์และพลเมืองชั้นสูง และแน่นอนน้ำนั้นเป็นของหายากสำหรับชาวมายา จึงไม่มีใครปฏิเสธที่จะใช้น้ำในบ่อเกรอะ แม้มันจะเป็นน้ำทิ้งก็ตาม… 

👉เพิ่มเติม : พยา งูคูคุลคัน ของชาวมายา และ เควทซัลโคทล์ ของชาวแอซเท็ค มีส่วนคล้ายกันคือ ทั้งสองเป็นเทพแห่งพืชผล ช่วยบันดาลความอุดมสมบูรณ์แก่การเกษตร และลักษณะเป็นงูใหญ่ยักษ์ที่มีขนคล้ายนกเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันคือ พญางูเควทซัลโคทล์ นั้นดุร้าย และชาวแอซเท็คจะต้องทำการบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์ทุก ๆ ปี 

ดังนั้นชาวแอซเท็คจึงต้องยกทัพออกไปตีเมืองต่าง ๆ เมื่อจะได้จับเชลยศึกมาสังเวยแทนที่จะเป็นคนในเผ่าตนเอง

สิ่งก่อสร้างลึกลับขนาดมหึมาใต้ทะเลGalilee ที่อิสราเอล

Ancient Structure Underneath Sea Of Galilee
ค้นหา
Custom Search

ในปี 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบโครงสร้างวงกลมขนาดมหึมาใต้ทะเล Galilee ประเทศอิสราเอลโดยบังเอิญ...

หลังจากการค้นพบเกือบ 10 ปีต่อมา นักธรณีฟิสิกส์ Shmuel Marco ได้บอกกับทาง CNN ว่าพวกเขาประหลาดใจมากที่เห็นสิ่งที่ดูเหมือนรูปปั้นสำริดมาตั้งอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร เขาคาดการณ์ว่าโครงสร้างโบราณอาจจะเป็นจุดพักเรือ 

แต่นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่ามันตั้งอยู่บนพื้นดินมาก่อนและต่อมามันถึงได้จมอยู่ใต้น้ำ เพราะปัจจัยน้ำขึ้น หรือ พื้นดินถล่ม...

โครงสร้างถูกสร้างขึ้นจาก
หินบะซอลและมีรูปร่างเหมือนกรวย 
วัดขนาดได้ประมาณ 70 เมตร 
(230 ฟุต) ที่ด้านล่างโครงสร้าง
มีขนาด 10 เมตร (33 ฟุต) และคาดว่าจะมีน้ำหนักประมาณ 54,500,000 กิโลกรัม (60,000 ตัน) 

อายุของมันเป็นที่คาดกันว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 2,000-12,000 ปี และมันยังถูกนำไปเทียบขนาดและอายุของวงกลมหินประหลาดสโตนเฮ้นท์ในอังกฤษอีกด้วย...

นักโบราณคดี Dani Nadel ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าโครงสร้างมีลักษณะคล้ายกับสถานที่ฝังศพโบราณในพื้นที่ 

นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ก้อนหินขนาดใหญ่น้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม (lb220) 

แต่กระนั้นก็ยังเป็นที่คาดการณ์กันไว้เฉยๆ... ปัจจุบันนี้เจ้าสิ่งก่อสร้างลึกลับขนาดมหึมานี้ก็ยังไม่ทราบที่มาที่ไปของมัน ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่...

คัมภีร์ปีศาจ หนังสือโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกDevil's Bible

Codex Gigas หรือในภาษาอังกฤษ คือ หนังสือยักษ์ (Giant Book) 
ป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือโบราณในยุคกลางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  
ค้นหา
Custom Search

มันถูกเขียนขึ้นมาในประมาณ 
คริสต์ศัตวรรษที่ 13 ใน 
ประเทศโบฮีเนีย (ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเชค Czech Republic) และถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์ ในระหว่างสงครามสามสิบปี (Thirty Years' War) ในปี ค.ศ. 1648 สมบัติของสะสมต่าง ๆ ภายในโบสถ์ ถูกปล้นไปโดยกองทัพของทหารสวีเดน

ปัจจุบัน Codex Gigas ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ หอสมุดนานาชาติ ประเทศสวีเดน ในเมืองสต๊อกโฮม 
(National Library of Sweden in Stockholm) 

แต่ Codex Gigas ถูกรู้จักกันในชื่อ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ 
เพราะว่า...ทำไม Codex Gigas จึงถูกเรียกว่า คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ 
 
ยังคงเป็นปริศนาของผู้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้ แต่ตำนานนั้นกล่าวว่าบันทึกเล่มนี้เขียนโดย นักบวชนอกรีตที่ขายวิญญาณให้แก่ซาตาน และใช้เวลาเขียนเพียง 
หนึ่งคืน เท่านั้น (อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ) แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกียวกับบันทึกเล่มนี้ไม่เชื่อ และคาดการณ์ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจเล่มนี้ใช้เวลาเขียนไม่ต่ำกว่า 20 ปี 
-   คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เป็น คัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงเล่มเดียวที่บรรจุไว้ 
ทั้งคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า และใหม่ รวมกัน
-   ภายในยังประกอบได้ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับ ซาตาน (satanic) 
ซึ่ง ทำให้มันเป็น คัมภีร์ไบเบิ้ล เพียงเล่มเดียวที่มีรูป ปีศาจ หรือ ซาตาน ภายในเล่ม
-   ภายในประกอบไปด้วย มนต์ดำ แห่ง ปีศาจ (demonic spells)
-   ภายในประกอบไปด้วย มนต์ คาถา เพื่อการรักษา
-   ลักษณะลายมือที่เขียนอย่างสวยงาม มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนต้นฉบับหนังสือใด ด้วยหมึกสีดำ แดง น้ำเงิน เหลือง เขียว และสีทอง ขึ้นต้นตัวอักษรด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ และสวยงาม
-   ด้วยต้นกำเนิด และปริศนาต่าง ๆ นี้จึงทำให้ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจนี้ถูกจัดอันดับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อันดับที่ 8 และเป็นหนึ่งในหนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลกเล่มหนึ่ง 
และรูปซาตานขนาดความสูง 50 เซ็นติเมตร นี้เป็นที่มาของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้

ลักษณะ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ 
-   คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ ถูกเก็บรักษาอยู่ในหีบไม้
-   ปกเป็นหนังสัตว์ ประดับด้วยเครื่องประดับโลหะ
-  ตัวคัมภีร์ไบเบิ้ล ปีศาจ มีขนาด 92 x 50 x 22 เซ็นติเมตร  สูง x กว้าง x หนา ตามลำดับ) หนัก 75 กิโลกรัม
-   เนื้อหาภายในบันทึกโดยลายมือ บนหนังลูกวัว หนังลา รวมกว่า 160 ตัว
-   ช่วงแรกคาดว่าภายในเล่มประกอบไปด้วย เนื้อหา 320 แผ่น
-   ปัจจุบัน ปรากฏร่างรอยการฉีกบันทึกออกไป 8 แผ่น (อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจว่า 8 แผ่นนี้คืออะไร ) และยังคงเป็น ปริศนา อยู่ถึงทุกวันนี้ว่า ใครเป็นผู้ฉีกเนื้อหาส่วนที่ขาดหายไปนั้น และจุดประสงค์ในการทำลายบันทึกนี้เพื่ออะไร
-   ภายในเล่ม ไม่ปรากฎ ชื่อ ลายเซ็นต์ อะไรที่เป็นร่องรอยในการสืบค้นทั้งสิ้น

ตำนานการอุบัติ ของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ  
ย้อนกลับไปนานเท่านาน นักบวชผู้ถูกจองจำอยู่ในคุกที่ลึกและมือมิด จากความผิดอย่างใหญ่หลวงของเขาที่ได้กระทำ ทางรอดเพียงหนทางเดียวที่จะได้รับการไถ่โทษนี้ ก็คือ จะต้องทำการเขียนหนังสือที่เป็นการยกย่องทางคริสต์ศาสนา และรวบรวมไว้ด้วยภูมิรู้ทั้งปวงของมวลมนุษญ์ชาติ (ความหมายก็คือให้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ล) ให้เสร็จภายใน 1 คืน เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก จนถึงเวลาเที่ยงคืน 

นักบวชยังเขียนหนังสือได้ไม่คลืบหน้า เขาจึงเริ่มสวดภาวนา วิงวอน แต่คำวิงวอนนั้นไปไม่ถึงพระผู้เป็นเจ้า แต่มันกับตกลงไปสู่ห้วงอเวจีที่มืดมิด และซาตานก็ตอบรับคำวิงวอนของ นักบวชผู้นั้น 

โดยการช่วยเหลือจากซาตาน ให้เขาสามารถเขียน Codex Gigas หรือ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 คืน และนักบวช จึงได้เขียนรูป ซาตาน ตนนั้นที่ให้ความช่วยเหลือเขาลงในคัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือเขา ในหน้าที่ 290 ตามตำนานยังเล่าว่า นักบวชเป็นผู้ฉีก ออกไป 8 แผ่น เนื่องจากบทดังกล่าวเป็น คาถา และวิธีกรรมในการไล่ภูต ผี ปีศาจ 

พบรองเท้าลึกลับที่ถูกซ่อนไว้ในกำแพง ที่อียิปต์

Hidden Shoes In Egyptian Temple
พบรองเท้าลึกลับที่ถูกซ่อนไว้ในกำแพง ที่อียิปต์
ค้นหา
Custom Search
นักโบราณคดีค้นพบสิ่งที่ผิดปกติ ของกองสมบัติ ในระหว่างการเดินทางในอียิปต์ในปี 2004 ซึ่งมันถูกบรรจุอยู่ในโถที่วางอยู่ตรงกลางของโถอีกสองอัน และมันถูกตั้งอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กระหว่างผนังอิฐ 
พวกเขาค้นพบทั้งหมด 7 คู่
ด้วยกัน มีรองเท้าสองคู่ที่ดูเหมือนเป็นรองเท้าเด็กและรองเท้าที่เหลือเป็นของผู้ใหญ่  
นักโบราณคดี Angelo Sesana กล่าวว่า "โถใส่รองเท้า" ได้รับการซ่อนมากว่า 2,000 ปี
ที่ผ่านมา.....
Andre Veldmeijer ผู้เชี่ยวชาญในรองเท้าโบราณรู้สึกตื่นเต้นกับการค้นพบรองเท้าเหล่านี้ เพราะมันมีสภาพที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบมากกว่าที่เคยค้นพบในยุคสมัยเดียวกัน  
เขาวิเคราะห์รองเท้าเหล่านี้ว่า มันน่าจะเป็นรองเท้าของพวกมหาเศรษฐีที่มีราคาแพงและมีความหมายสำหรับฐานะ แต่ความลึกลับของมันก็คือ ทำไมพวกเขาต้องทำการซ่อนรองเท้าเอาไว้ในโถ แล้วยังเอามาซ่อนไว้ในกำแพงอีกชั้น...

สันนิษฐานว่า ตอนนั้นอาจจะเกิดสงคราม หรือ การคุกคามบางอย่าง พวดเขาจึงนำหลักฐานแสดงตัวตนของพวกเขามาทำการซ่อนเอาไว้ หลังจากนั้นก็อพยพหนีออกไปจากที่แห่งนี้.... 

เผยที่มา ดาวเคราะห์แห่งเพชรคาดอาจอุดมด้วยคาร์บอน

ค้นหา
Custom Search

Shown is an illustration of a carbon-rich planet with diamond and silica as main minerals. Water can convert a carbide planet into a diamond-rich planet. In the interior, the main minerals would be diamond and silica (a layer with crystals in the illustra Diamond Planet  

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ได้ค้นพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าดาวเคราะห์บางดวงในจักรวาลอาจเกิดจากแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเพชร โดยนักวิจัยมุ่งศึกษาดาวเคราะห์ที่อยู่นอกระบบสุริยะจักรวาลเป็นหลัก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Arizona State ซึ่งทำการศึกษาเรื่องดาวเคราะห์ที่มีแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเพชร กล่าวว่า ดาวเคราะห์นอกระบบจักรวาลที่อุดมไปด้วยคาร์บอนบางดวงน่าจะมีสภาพที่เหมาะสมในการก่อเกิดและกักเก็บเพชรในปริมาณสูง กล่าวคือ ดาวเคราะห์บางดวงอาจเกิดจากซิลิกา ซึ่งเป็นแร่ที่พบบนโลกในรูปของทราย และควอตซ์ เป็นต้น 

Harrison Allen-Sutter นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Arizona State University ภาควิชาการสำรวจโลกและอวกาศ ซึ่งเป็นหัวหน้าการศึกษาวิจัยนี้ กล่าวว่า ดาวเคราะห์นอกระบบเหล่านี้ไม่เหมือนกับสิ่งใดๆ ในระบบสุริยะจักรวาล

ในผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ในวารสาร The Planetary Science Journal นักวิจัยกล่าวว่า ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ใช้ระบบสุริยะร่วมกันจากกลุ่มก๊าซเดียวกัน นั่นหมายความว่าดาวทั้งสองนี้ประกอบไปด้วยแร่ธาตุเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ซึ่งมีอัตราส่วนคาร์บอนต่อออกซิเจนต่ำ ดังนั้นโลกก็จะมีระดับคาร์บอนต่ำด้วยเช่นกัน ส่งผลให้มีเพชรอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ทั้งนี้โลกอาจจะมีเพชรอยู่ราว 0.001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

แต่ดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่มีอัตราส่วนคาร์บอนต่อออกซิเจนสูงกว่าดวงอาทิตย์ มีแนวโน้มที่จะอุดมไปด้วยคาร์บอน นักวิจัยชี้ว่าดาวเคราะห์เหล่านั้นสามารถเปลี่ยนคาร์บอนเป็นเพชรและซิลิเกตได้หากมีน้ำอยู่ด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ดาวเคราะห์หลายดวงมีเพชรปริมาณมหาศาลเป็นส่วนประกอบ ในปีพ.ศ. 2555 นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่า พวกเขาได้ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึงสองเท่า ซึ่งเชื่อว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวเคราะห์ดวงนั้นเป็นเพชร

นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ดาวเคราะห์หินที่มีชื่อว่า 55 Cancrie นี้อาจจะปกคลุมไปด้วยกราไฟต์และเพชรมากกว่าน้ำและแกรนิต ในการศึกษาครั้งใหม่ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบในห้องแล็บเพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยของพวกเขา โดยการสร้างสภาวะภายในดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลที่อุดมด้วยคาร์บอน และทำการทดลองด้วยการใช้ความร้อนและความกดอากาศ

นักวิจัยนำตัวอย่างซิลิคอนคาร์ไบด์ซึ่งเป็นส่วนผสมทางเคมีของซิลิคอนและคาร์บอนใส่ลงไปในน้ำ จากนั้นก็วัดปฏิกิริยาระหว่างซิลิคอนคาร์ไบด์กับน้ำโดยใช้เลเซอร์เพื่อสร้างความร้อนสูง หลังจากนั้นใช้เทคโนโลยี X-ray ในการวัดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อตัวอย่างซิลิคอนคาร์ไบด์ถูกทำให้ร้อนที่ระดับความดันสูง นักวิจัยพบว่าความร้อนและความดันอากาศในระดับสูงทำให้ซิลิคอนคาร์ไบด์ทำปฏิกิริยากับน้ำ แล้วกลายเป็นเพชรและซิลิกา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการศึกษานี้จะมีหลักฐานใหม่ว่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลบางดวงอาจมีสารที่มีคุณค่าสูง แต่ก็ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าดาวเคราะห์ดังกล่าวเอื้อต่อดำรงชีวิต เนื่องจากดาวเคราะห์ที่อุดมด้วยแร่ธาตุคาร์บอนเหล่านี้มักไม่มีสภาวะที่จะสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตใดๆ ได้

นักวิจัยกล่าวว่า พื้นผิวภายในของดาวเคราะห์ดังกล่าวจะแข็งมากจนไม่สามารถมีการเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาได้ การขาดกิจกรรมทางธรณีวิทยาอาจทำให้ดาวเคราะห์นั้นไม่สามารถสร้างชั้นบรรยากาศ ซึ่งชั้นบรรยากาศมีความสำคัญมากสำหรับสิ่งมีชีวิตเพราะเป็นสิ่งที่สร้างอากาศและน้ำ

Harrison Allen-Sutter กล่าวว่า กล้องโทรทรรศน์ใหม่จากองค์การ NASA ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สังเกตและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวเคราะห์นอกระบบจักรวาลได้ดีขึ้นกว่าที่เคย
 และนักดาราศาสตร์ได้พบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลมากกว่า 4,000 ดวงแล้ว และว่า ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะสามารถตีความข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อทำความเข้าใจกับโลกที่อยู่นอกระบบสุริยะของเราเองได้ดียิ่งขึ้น

องค์การ NASA ค้นพบดาวเคราะห์1,200ดวงและมี54ดวงที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายโลก


ค้นหา
Custom Search
องค์การ NASA ค้นพบดาวเคราะห์1,200ดวงและมี54ดวงที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายโลกและคาดว่าจะมีสิ่งมีชีวตอาศัยอยู่

นักวิทยาศาสตร์จากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ หรือ นาซ่า ประกาศการค้นพบดาวเคราะห์ใหม่กว่า 50 ดวงที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวตอยู่คล้ายกับโลกของเรา โดยเป็นข้อมูลค้นพบจากกล้องโทรทรรศน์สำรวจอวกาศเคปเลอร์ (Kepler)นอกจากนี้ยังค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่อื่นๆอีกมากกว่า 1 พัน 2 ร้อยดวง

คุณวิลเลี่ยม โบร๊อคคี่ (William Borucki) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์โครงการเคปเลอร์ หรือโครงการกล้องโทรทรรศน์สำรวจอวกาศเคปเลอร์ (Kepler) ที่สหรัฐส่งออกสำรวจค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลกที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาลเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ประกาศถึงการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่มากกว่า 1 พัน 2 ร้อยดวง โดยมั่นใจว่าราวร้อยละ 80 ของกลุ่มดาวที่ค้นพบในครั้งนี้จะเป็นดาวเคราะห์และจะได้รับการยืนยันและพิสูจน์ในไม่ช้า

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์โครงการเคปเลอร์ บอกว่า การค้นพบในครั้งนี้เป็นเพียงการสำรวจจากการมองผ่านกล้อง 1 ใน 400 ส่วนของท้องฟ้าเท่านั้น และยังมีโอกาสอีกถึง 400 ครั้งที่จะสำรวจท้องฟ้าในส่วนที่เหลือเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่นๆอีก

คุณวิลเลี่ยม บอกด้วยว่า มีดาวเคราะห์ 68 ดวงที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลก และในจำนวนนี้มี 54 ดวงที่มีลักษณะคล้ายกับโลกและอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เพราะมีสภาพอุณหภูมิที่ไม่ร้อนเกินไปและไม่หนาวเกินไป รวมทั้งสภาพแวดล้อมน่าจะเอื้ออำนวยให้เกิดน้ำ

การค้นพบในครั้งนี้สร้างความประหลาดใจต่อวงการวิทยาศาสตร์อย่างมากเพราะก่อนหน้านี้ข้อมูลในวงการด้านดาราศาสตร์ยืนยันว่าจำนวนดาวเคราะห์นอกระยะสุริยะนั้นมีประมาณ 500 ดวงเท่านั้น และมีดาวเคราะห์เพียง 6 ดวงที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นการค้นพบครั้งใหม่

แม้หัวหน้านักวิทยาศาสตร์โครงการเคปเลอร์ จะแสดงเชื่อมั่นในการค้นพบครั้งนี้แต่ทุกอย่างยังต้องได้รับการตรวจสอบและพิสูจน์เพราะการค้นพบดาวเคราะห์ที่มีสภาพเหมาะกับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง 
ซึ่งกรณีของดาวอังคารก็เป็นตัวอย่างที่ดี นอกจากนี้การที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการสำรวจหาสิ่งมีชีวิต ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดหรือ แต่อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรีย เชื้อรา หรือสิ่งมีชีวตที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้

Cedar Avenue ถนนสายต้นไม้ที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ค้นหา
Custom Search
Cedar Avenue ถนนสายต้นไม้ที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่ง
ในโลก....

หากพูดถึงหนึ่งในถนนสายต้นไม้ที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แน่นอนว่า ถนนอุโมงค์
ต้นสนซีดาร์ที่เมืองนิกโก้ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

ถนน Cedar Avenue เป็นถนนที่มีต้นไม้เรียงรายยาวที่สุดในโลก และถูกสร้างขึ้นเมื่อเกือบ 400 ปีที่แล้ว ซึ่งทอดตัวยาว 37 กม. และสองข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นสนซีดาร์กว่า 13,000 ต้น หรือที่รู้จักกันใน
ชื่อ Sugi โดยถนนสายนี้มีชื่ออยู่ใน "The Guinness Book of World Records" อีกด้วย

ทั้งนี้ ในปี 1625 ได้เริ่มมีการปลูกต้นสนซีดาร์ไว้ตลอดสองข้างทาง ประมาณว่ามีต้นสนประมาณ 200,000 ต้น......
เพื่อเข้าสู่ศาลเจ้า Toshogu แต่ในต่อมาได้มีการโค่นล้มต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่เพื่อการก่อสร้างถนน รวมไปถึงการที่ต้องเผชิญกับไอเสียรถยนต์อย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้ต้นไม้เสียหาย และลดจำนวนลง จนกระทั่งเหลือเพียง 13,000 ต้นในปัจจุบัน

รีชีป เจนเด็กชายอายุ13 คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบุที่ตั้งของตับอ่อนขณะทำรังสีบำบัด

ค้นหา
Custom Search

เด็กชายคิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบุที่ตั้งของตับอ่อนขณะทำรังสีบำบัด
เด็กชายคิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบุที่ตั้งของตับอ่อนขณะทำรังสีบำบัด

เด็กชายคิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบุที่ตั้งของตับอ่อนขณะทำรังสีบำบัด

รีชีป เจน จากพอร์ทเเลนด์ รัฐโอเรกอน คว้ารางวัลชนะเลิศนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Discovery Education 3M Young Scientist Challenge ของสหรัฐฯ ประจำปี 2018 นี้

เขาคิดค้นโปรแกรมวิเคราะห์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence เพื่อปรับปรุงการบำบัดมะเร็งตับอ่อน

เจน อายุ 13 ปี กล่าวว่าในระหว่างการบำบัดผู้ป่วยด้วยการฉายรังสี โปรแกรมวิเคราะห์ที่เขาคิดค้นขึ้นสามารถตรวจหาตับอ่อนได้เร็วขึ้นเเละแม่นยำขึ้น

เจนบอกว่าการค้นหาที่ตั้งของตับอ่อนด้วยสายตามนุษย์ทำได้ยากมากกว่า แม้เเต่นักรังสีวิทยาที่ได้รับการฝึกฝนอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะค้นหาที่ตั้งของตับอ่อนได้สำเร็จเพราะตับอ่อนมีขนาดเล็กเเละถูกกำบังด้วยอวัยวะหลายอย่าง รวมทั้งกระเพาะอาหารและยังอยู่ใกล้กับกระดูกสันหลังอีกด้วย ซึ่งทำให้การผ่าตัดและการบำบัดยากมากขึ้น

เจนบอกว่าได้ตั้งโปรแกรมวิเคราะห์ระบบ AI ให้ใช้ได้กับเครื่องแสกน CT และ MRI ที่ใช้ตรวจบริเวณช่องท้องเพื่อให้โปรแกรมให้ระบบวิเคราะห์เข้าใจว่าตับอ่อนมีลักษณะอย่างไรและตั้งอยู่ในจุดใดของช่องท้อง

เจน อธิบายให้ผู้สื่อข่าววีโอเอว่า โปรแกรม Pancreatic Cancer Deep Learning System ที่เขาคิดค้นขึ้นกำลังทำงานร่วมกันเครื่องตรวจ CT สแกนที่กำลังตรวจภายในช่องท้องของคนไข้และขณะที่คนไข้หายใจเข้าออก ตับอ่อนก็จะเคลื่อนตัวตามไปด้วย

เจนบอกว่า ระหว่างการฉายรังสีบำบัดมะเร็งตับอ่อนที่ใช้เครื่องสแกน MRI เป็นตัวชี้นำ แพทย์สามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์ที่เขาคิดค้นขึ้นควบคู่ไปด้วยเพื่อช่วยระบุจุดที่ตั้งของตับอ่อนได้อย่างแม่นยำ เพื่อช่วยให้ฉายรังสีไปยังตับอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความผิดพลาดที่รังสีจะฉายไปโดนอวัยวะอื่นๆ หรือเซลล์ที่เเข็งเเรงลงได้

มะเร็งตับอ่อนเป็นมะเร็งที่ไม่พบบ่อยนัก แต่มักทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต มะเร็งชนิดโตช้าเเละเนื่องจากจุดที่ตั้งของตับอ่อนค่อนข้างลึกลับซับซ้อน จึงมักตรวจไปไม่พบก้อนมะเร็งในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะไม่ปรากฏอาการจนกระทั่งมะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เเล้ว

รีชีป เจน วางเเผนว่าจะใช้เงินรางวัล 25,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่เขาได้รับ พัฒนาอุปกรณ์ที่เขาคิดค้นขึ้น

ซึ่งยังเป็นต้นแบบอยู่ในขณะนี้ให้อุปกรณ์ตัวจริงที่นำไปใช้งานได้และเขาหวังว่าต่อไปในอนาคตจะสามารถร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือบริษัทเอกชนเพื่อผลิตอุปกรณ์นี้ออกมาวางตลาด
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน