Custom Search

อาชีพอิสระ

อาชีพอิสระในบ้านเรามีมากมายหลายประเภท
แต่ถ้าจะแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆอาชีพอิสระมีอะไรบ้าง อาชีพอิสระในบ้านเรามีมากมายหลายประเภท

แต่ถ้าจะแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ก็น่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้

กลุ่มที่ 1 : อาชีพอิสระที่ดำเนินงานภายใต้ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
กลุ่มที่ 2 : อาชีพอิสระที่ดำเนินการด้วยตัวเอง

1. อาชีพอิสระที่ดำเนินงานภายใต้ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
อาชีพในกลุ่มนี้ได้แก่ ตัวแทนขายประกันชีวิต ตัวแทนขายตรง ขายแบบเครือข่าย ขายแบบหลายชั้น
ขายแบบลูกโซ่ ฯลฯ เป็นอาชีพที่เราไม่ต้องไปลงทุนอะไรเอง ลงแรงไปเรียนไปอบรมเท่านั้น บางธุรกิจ
อาจจะต้องลงทุนในการเสียค่าสมัคร ค่าซื้อสินค้าสำหรับการสาธิตบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรการทำงาน
ต้องทำอยู่ในกรอบใหญ่ๆที่ธุรกิจนั้นๆกำหนดไว้ แต่รูปแบบ วัน เวลา สถานที่การทำงาน เรามีอิสระอย่าง
เต็มที่วันไหนอยากทำก็ทำ วันไหนไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำได้

2. อาชีพอิสระที่ดำเนินการด้วยตัวเอง
อาชีพในกลุ่มนี้ได้แก่ วิทยากรอิสระ นักเขียนอิสระ ที่ปรึกษาอิสระ นักเขียนโปรแกรมอิสระ นักจัดอบรม/
สัมมนาอิสระ ฯลฯ รวมถึงคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวที่ต้องลงแรงทำด้วยตนเอง เช่น ขายอาหาร ขายของชำ
ผลิตสินค้าบางอย่างขายเอง ฯลฯ อาชีพในกลุ่มนี้มีอิสระอย่างเต็มที่ทุกอย่าง แต่ก็เหนื่อยทุกอย่าง
เหมือนกัน เพราะต้องทำเองทั้งหมด วันไหนไม่ทำก็อด ไม่เหมือนอาชีพอิสระในกลุ่มแรกที่พอทำไปถึง
ระดับหนึ่ง วันไหนไม่ทำก็ยังพอมีรายได้เข้ามาจากเครือข่ายหรือลูกทีม
แนะนำอาชีพอิสระที่น่าสนใจ

อาชีพวิทยากร

อาชีพวิทยากรเป็นอาชีพที่น่าทำอาชีพหนึ่ง เพราะเป็นอาชีพที่ถึงแม้ไม่มีมรดกจากพ่อแม่ให้ก็ทำได้ เป็น อาชีพที่มีทั้งเกียรติและเงิน เป็นอาชีพที่มีสินค้าเพียงอย่างเดียวคือความรู้ขายได้หลายครั้งไม่มีวันหมด ยิ่งขายยิ่งแพง(ค่าตัวเพิ่มขึ้นตามชั่วโมงบิน) เป็นอาชีพที่ไม่มีใครจ่ายเงินเชื่อ(บรรยายเสร็จจ่ายเลย ไม่มีเครดิตเทอม) เป็นงานที่รับผิดชอบเพียงเช้าถึงเย็น จบก็กลับบ้านไม่ต้องเอาภาระอะไรติดตัวกลับบ้าน

ข้อจำกัดก็มีบ้าง เช่น ทำงานเป็นรายวัน ต้องทำไม่ทำอด งานไม่แน่นอน เพราะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ใครจะเชิญเมื่อไหร่ นอกจากนี้อาชีพนี้ก็ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ เพราะอาชีพ เฉพาะตัว

อาชีพที่ปรึกษา

เป็นอาชีพหนึ่งที่มีเกียรติและมีกิน เพราะรายได้ดี เป็นอาชีพที่ขายทั้งความรู้และประสบการณ์ มีอิสระ ใน การทำงานเพราะเราเป็นคนกำหนดสิ่งที่จะทำให้กับลูกค้า ยิ่งทำมากทำนานยิ่งเพิ่มพูนประสบการณ์ มีโอกาส เข้าเรียนรู้ในองค์กรต่างๆที่หลากหลาย ไม่ต้องทำงานทุกวัน ได้เงินเป็นก้อน

สำหรับข้อจำกัดของอาชีพนี้คือ เริ่มต้นยากเพราะยังไม่มีประสบการณ์และลูกค้าอ้างอิง ต้องมีเงินสำรองกิน ระหว่างที่รอเบิกเงินค่างวด ต้องรับผิดชอบงานตลอดระยะเวลาของโครงการ บางครั้งกะเกณฑ์ไม่ได้ว่า จะสามารถปิดโครงการได้เมื่อไหร่

อาชีพนักเขียน

เป็นอาชีพที่อิสระจริงๆ เพราะจะทำงานตรงไหน ที่ไหน เวลาไหนก็ได้ จะใส่ชุดอะไรทำงานก็ได้ จะทำๆหยุดๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไร มีอารมณ์ก่อนแล้วค่อยทำ ไม่มีอารมณ์ไม่ต้องทำ ผลงานที่ออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน อยู่นาน เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ติดตัวและให้ลูกหลานได้ ถ้าหนังสือขายดี ก็กินยาวโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย รอรับ เงินอย่างเดียว เป็นงานที่นำมาซึ่งชื่อเสียง ภาษีสังคมน้อย เพราะไม่ต้องไปเจอลูกค้า(ผู้อ่าน)ด้วยตนเอง ไม่ต้องเดินทางไปไหนให้เปลืองค่าน้ำมัน

ข้อจำกัดที่อาจจะมี เช่น ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เงินอย่างน้อยก็หกเดือนหรือเป็นปี ทำอาชีพนี้อย่างเดียว ถ้าไม่เก่งจริงหรือหนังสือขายดีจริงอาจจะไม่พอกิน
อาชีพขายประกันชีวิต

อาชีพนี้ดีตรงที่ว่าเป็นงานอิสระ ปกครองตัวเอง บริหารตัวเอง นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิตคนอื่น เป็นงานทำบุญโดย ไม่รู้ตัว เป็นอาชีพที่มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองมาก เพราะมีวิทยากรที่เก่งๆคอยแนะนำอยู่ตลอดเวลา เป็นงานที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสังคม ขายได้แล้วกินยาวพอสมควร พอถึงจุดๆหนึ่งแม้ว่าวันนี้ เดือนนี้ ไม่ได้ทำงานเลยก็ยังมีรายได้อยู่ เป็นอาชีพที่ท้าทาย เพราะต้องเรียนรู้นิสัยและจิตใจคนที่หลากหลาย ตลอดเวลา เป็นอาชีพที่สามารถก้าวกระโดดได้ด้วยความสามารถโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องวุฒิ เพศ อายุ และ การศึกษา ทุกคนมีโอกาสไปถึงฝันอันสูงสุดได้เหมือนกัน

ข้อจำกัดก็มีบ้าง เช่น ต้องแบกหน้าไปคุยกับคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน ต้องใช้ความอดทนมาก รายได้ไม่แน่ นอนในช่วงแรกๆที่เพิ่งเข้ามาทำอาชีพนี้ มีคนทำอาชีพนี้กันมาก คนส่วนใหญ่มีทัศนคติต่ออาชีพนี้ไม่ดี
อาชีพธุรกิจขายสินค้าระบบเครือข่าย

อาชีพนี้ก็มีข้อดีตรงที่มีอิสระในการทำงานโดยเฉพาะเรื่อง เวลา สถานที่ในการทำงาน เป็นอาชีพที่ต้อง เหนื่อยในช่วงแรก แต่พอเติบโตมีเครือข่ายมากเพียงพอแล้ว เก็บเกี่ยวอย่างเดียว เพราะคนอื่นทำงาน แทนเรา บางธุรกิจผลตอบแทนตกทอดถึงลูกหลายได้เหมือนกัน เป็นอาชีพที่ไม่มีข้อจำกัดเช่นกันว่า คุณจะ ต้องจบอะไรมา อายุเท่าไหร่ เพศไหน พื้นฐานทางครอบครัวเป็นอย่างไร นับถือศาสนาอะไร และทุกคนมี โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับต่างๆได้เหมือนกัน เพียงแต่ใครจะไปเร็วไปช้า ไปได้มากได้น้อยกว่ากัน เท่านั้นเอง นอกจากนี้อาชีพนี้ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่มีโอกาสได้พัฒนาตนเองมากและตลอดเวลา เพราะมีการ จัดสัมมนาฟรีโดยผู้ที่มาบรรยายให้ฟังเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จจริง มีโอกาสได้กระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ข้อจำกัดก็มีเหมือนกัน เช่น ต้องทำตามขั้นตอนในการขาย ต้องปกครองและดูแลลูกทีม ต้องทำงานหนักใน ช่วงแรกๆ ต้องแบกหน้าไปขายของ ลูกค้าบางคนมองอาชีพนี้ไม่ค่อยดี เพราะเจอประสบการณ์จากคนขาย ที่ไม่ดีมาก่อน
เรียบเรียงข้อมูลใหม่โดย manman

เคล็ดลับเทคนิคการสร้างแรงจูงใจ

เคล็ดลับและเทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต
ถ้า วันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจในชีวิต น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น วันนั้นอาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ เปรียบเหมือนกับการที่เราขับรถยนต์ขึ้นภูเขา ถ้าวันไหนต้องขับขึ้นภูเขาที่สูงชันมากเกินกว่ากำลังเครื่องยนต์ของเราจะสู้ ได้ วันนั้น รถยนต์ของเราก็คงจะหยุดอยู่กับที่หรือไม่ก็ลื่นไถลตกลงมาสู่ที่ต่ำ ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น วันนั้น อาการที่เราแสดงออกคือ สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ เปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงมากหรือเหมือน ขับรถโฟวีลที่สามารถขับขึ้นภูเขาลูกไหนก็ได้ ลุยกับสภาพถนนแบบไหนก็ได้

แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว เราไม่สู้ เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยากเลย แทบจะไม่มีแรงต่อสู้กับแรงดึงดูดของเตียง แต่ถ้าวันไหนมีกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว) หรือเราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ(แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล เราสามารถชนะแรงดึงดูดของเตียงนอนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น(ความอยากและความกลัว)และเทคนิควิธีการในการ ฉุดดึงเอาแรงจูงใจ ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากพอและต่อเนื่อง ผมขอแนะนำเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจาก 2 แหล่งดังนี้

การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต
ชีวิตคนหนึ่งคน คือภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเปิดใช้ในระหว่างทางของชีวิต ส่วนใหญ่จะเปิดกันก็ต่อเมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต เข้าข่ายที่ว่า “คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า” เพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีต ที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ (แต่คนฟังเบื่อไปหลายรอบแล้ว) ถ้าเรายังไม่แก่ ขอแนะนำว่าควรจะนำเอาเรื่องเก่าทั้งที่เป็นจุดด้อยและความภูมิใจในชีวิตที่ ผ่านมา มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาก็จะทำให้เราเกิดพลังที่จะ ขับเคลื่อนตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่เราเคยลำบากมาก่อน ในขณะเดียวกันถ้าเรานึกถึงเรื่องที่เราภูมิใจ อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิตที่ผ่าน ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์ตไฟให้กับตัวเองด้วยความภูมิใจในอดีตของตัวเราเอง

การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดันให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต...
  • ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเผ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา
  • ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก
  • ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่แต่งงาน
  • ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด
  • ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านคนเดียว
  • ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น

การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต
คนบางคน ในบางเวลา เรื่องราวในอดีตอาจจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องในอดีตมีแต่เรื่องที่ช่วยฉุดแรงจูงใจให้ต่ำลงไปอีก จึงขอแนะนำให้ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์ในอนาคตมาหลอกล่อหรือดึงดูดใจ การสร้างแรงจูงใจในชีวิตเปรียบเสมือน การที่เราเข็นรถชีวิตที่จอดอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่สามารถเข็นจากด้านหลังได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการดึงจากข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ทั้งสองทางรวมดัน(ทั้งดึงและดัน)


สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่อง ราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่า “เสียดาย” ในชีวิต เพราะคนหลายคนมักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต...
  • ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป
  • ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
  • ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป
  • ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ
  • ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา
  • ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ
สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่ผมแนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด “กำลังใจ” อย่างแน่นอนครับ
เรียบเรียงข้อมูลโดยmanman

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน