Custom Search

นักวิทย์ฯ สร้าง tractor beam ลำแสงเคลื่อนย้ายวัตถุ จุดเริ่มต้นของการสร้าง UFO

สุดเจ๋ง!! นักวิทย์ฯ สร้าง tractor beam ลำแสงเคลื่อนย้ายวัตถุ จุดเริ่มต้นของการสร้าง UFO

ทุกๆคนมักจะเคยเห็น ลำแสง ที่ปล่อย ออกมาจาก ยานอวกาศ หรือ UFO ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ในภาพยนตร์ เรามักจะฉันลำแสงนั้น ดึงร่างของมนุษย์ หรือ สิ่งอื่นๆ ขึ้นไปบนตัวยาน 

อย่างเช่น ในภาพยนตร์ “Star Trek” หรือในนิยาย sci-fi หลายต่อหลายเรื่อง มักจะมีการนำเสนอลำแสงแปลกๆ ที่สามารถส่งผ่านไปยังวัตถุใดๆก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น ยานอวกาศ อุกาบาต หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตก็ว่ากันไป 
หลักการทำงานของเจ้าลำแสงแปลกประหลาดนี้คือ เมื่อมันพุ่งกระทบกับอะไรก็ตาม มันจะทำให้วัตถุนั้นถูก “ผลักหรือดึงดูด” ให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางของลำแสง ได้ดั่งใจนึก โดยมีชื่อเรียกว่า “tractor beam”

ในโลกความเป็นจริงนั้น ลำแสง tractor beam กำลังถูกพัฒนาขึ้นโดย เหล่านักวิทยาศาสตร์อังกฤษจากมหาวิทยาลัย Bristol และ Sussex พวกเขาได้พัฒนาต้นแบบลำแสงลากดึงวัตถุด้วย “เสียง” 

ที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรกในโลก โดยงานต้นแบบนี้ อาศัยลำโพงขนาดเล็กจิ๋ว 64 ตัว ที่สามารถสร้างคลื่นเสียงแบบ “Ultrasonic” (คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20 KHz ขึ้นไป 

โดยจะสูงขึ้นจนถึงเท่าใดนั้น ไม่ได้ระบุจำกัดเอาไว้ ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงเกินกว่าที่ประสาทหูมนุษย์จะได้ยิน และโดยทั่วไปหูของมนุษย์จะได้ยินเสียงความถี่สูงเฉลี่ยเพียงแค่ประมาณ 15 KHz)

โดยเมื่อจัดเรียงให้ลำโพงคลื่นเสียง Ultrasonic ทั้ง 64 ตัว หันในมุมที่เหมาะสมกัน ก็จะเกิดเป็น “acoustic hologram” หรือสนามพลังเสียง ที่มีความสามารถในการหนีบวัตถุให้ลอยไปมาตามทิศทางที่ต้องการ คือการบังคับ บน ล่าง ซ้าย ขวา ได้หมด
และจากการทดลองตัวต้นแบบของ Tractor Beam ในภาพนั้น มันสามารถยกวัตถุขนาดเท่าเม็ดถั่วให้ลอยไปมาบนแผงลำโพงได้ ซึ่งสามารถควบคุมวัตถุจากระยะ 30 – 40 ซม.
ให้สามารถเคลื่อนที่ตามต้องการได้ ต่อจากนี้ทีมพัฒนาหวังว่าจะสามารถพัฒนา Tractor Beam จนสามารถนำไปใช้งานได้จริง ซึ่งมันจะมีประโยชน์อย่างมากหากว่าสามารถเคลื่อนย้ายวัติถุหนักๆได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การขนส่ง เทคโนโลยีทางอวกาศหรือระบบขนย้ายวัตถุอันตราย เป็นต้น

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหัวหมาป่าในยุคน้ำแข็งที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด



นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียค้นพบส่วนของหัวหมาป่าขนยาวที่ตายไปเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว จากชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือที่เรียกว่า "permafrost" ในสาธารณรัฐยาคูเตีย (Yakutia) ของรัสเซีย 

โดยเบื้องต้นนี้นักวิจัยคาดว่าซากหัวนี้เป็นของหมาป่าพันธุ์ย่อย (subspecies) ที่อาศัยร่วมยุคกับช้างแมมมอธ และได้สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กัน 


นักวิจัยได้กล่าวว่าซากหัวหมาป่านี้ คือ หมาป่าที่โตเต็มวัยแล้ว 
และมีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าในปัจจุบันถึง 25% การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง

เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาได้ค้นพบเพียงหัวกะโหลกของหมาป่าที่ไม่มีเนื้อเยื่อหรือขนติดอยู่ แต่ซากหัวที่ค้นพบล่าสุดนี้เก็บรักษาสภาพส่วนของหู ลิ้น และสมองไว้ได้อย่างสมบูรณ์

ที่มาข่าว: phys.org news

พบซากไดโนเสาร์บินได้ ขนาดตัวเท่ากับแมว

Small-bodied pterosaur compared to domestic cat. (Mark Witton, University of Southampton)
นักวิทยาศาสตร์พบซากไดโนเสาร์บินได้ ขนาดตัวเท่ากับแมว!!

การค้นพบครั้งนี้คือซากบางส่วนของ pterosaur ซึ่งคาดว่ามีชีวิตอยู่เมื่อ 77 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งพบที่จังหวัด British Columbia ของประเทศแคนาดา เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว และถือว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวแรกที่บินได้
ผู้เขียนรายงานการวิจัยนี้คือ Elizabeth Martin-Silverstone นักศึกษาปริญญาเอกทาง Palaeobiology ที่มหาวิทยาลัย Southampton ในอังกฤษ

รายงานการศึกษานี้คาดว่า pterosaur ตัวนี้มีปีกยาวเพียง 1.5 เมตร ในขณะที่ pterosaurs ร่วมยุคสมัยโดยทั่วไปมีปีกยาวระหว่าง 4-11 เมตร

ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบนั้น ตัวใหญ่เท่ากับยีราฟ และมีปีกยาวพอๆ กับปีกเครื่องบินขนาดเล็ก
ในขณะนี้นักวิจัยยังลงความเห็นไม่ได้แน่นอนว่า pterosaur ตัวนี้เป็นพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนหรือเปล่า แต่ที่ตัดสินลงไปได้ก็คือ pterosaur ตัวเล็กตัวนี้อยู่ในประเภทของไดโนเสาร์ที่เรียกชื่อว่า azhdarchoids ซึ่งมีปีกสั้น และไม่มีฟัน

นักวิจัยบอกส่งท้ายว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นหลักฐานที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกทีว่า ในช่วงปลายยุคไดโนเสาร์ หรือ Cretaceous นี้ มีความหลากหลายมาก คือมีไดโนเสาร์ประเภท pterosaur หรือไดโนเสาร์บินได้ทั้งพันธุ์ใหญ่และเล็ก

เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์ หัวเหว่ย สั่งห้ามติดตั้งแอพพร้อมใช้บนมือถือ

เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์ หัวเหว่ย สั่งห้ามติดตั้งแอพพร้อมใช้บนมือถือ
FILE - A member of the media tries out new Huawei Honor 20 series of phones following their global launch in London, UK, May 21, 2019.

สื่อสังคมออนไลน์ เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์กับหัวเหว่ย ด้วยการสั่งห้ามหัวเหว่ยติดตั้งแอพพลิเคชั่นในเครือของเฟสบุ๊กทั้งหมด ในรูปแบบของ pre-install หรือแอพพลิเคชั่นพร้อมใช้บนสมาร์ทโฟน ตามคำสั่งของทางการสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทหัวเหว่ยทำธุรกิจกับอเมริกา

ทางเฟสบุ๊ก ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ ระบุว่า เฟสบุ๊กยกเลิกให้สิทธิอนุญาตให้บริษัทหัวเหว่ย ติดตั้งแอพพลิเคชั่นในเครือของเฟสบุ๊กทั้งหมดบนสมาร์ทโฟนของหัวเหว่ย นั่นหมายความว่าแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊กจะไม่ปรากฏเป็นแอพพลิเคชั่นพร้อมใช้จากหัวเหว่ยอีกต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนของหัวเหว่ยรุ่นที่จำหน่ายในปัจจุบัน สามารถโหลดและอัพเดทแอพพลิเคชั่นของเฟสบุ๊กได้อยู่ และทางเฟสบุ๊กยังไม่ลงรายละเอียดว่า ผู้ที่ซื้อสมาร์ทโฟนของหัวเหว่ยรุ่นใหม่ๆจะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาใช้ได้ภายหลังหรือไม่
การเคลื่อนไหวของเฟสบุ๊ก เกิดขึ้นหลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเริ่มยกระดับขึ้น

โดยเมื่อเดือนก่อน ทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอเมริกันขายเทคโนโลยีของบริษัทให้กับบริษัทหัวเหว่ยและบริษัทเทคโนโลยีของจีนรายอื่นๆ จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ

อนามัยโลกระบุ เหนื่อยจากงาน และ ติดเกมเป็นอาการป่วย


เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ระบุให้ "การติดเกม" และ "อาการเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน" เป็นอาการป่วยที่ควรได้รับการรักษาหรือคำแนะนำจากแพทย์

องค์การอนามัยโลก ระบุอย่างเป็นทางการว่า การติดเกม หรือ Gaming disorder เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทเดียวกับการติดสารเสพติด หรือพฤติกรรมเสพติดต่างๆ รวมถึง การติดการพนัน โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นไป

WHO ระบุไว้ใน "การจัดหมวดหมู่ของโรคหรือปัญหาทางสุขภาพตามสถิติระหว่างประเทศ" หรือ ICD-11 ว่า อาการติดเกม หมายถึง การเล่นเกมวนเวียนซ้ำๆ ซึ่งนำไปสู่ความบกพร่องในการควบคุมพฤติกรรมนั้นๆ และให้ความสำคัญต่อการเล่นเกมเป็นอันดับแรกเหนือความสนใจอื่นๆ หรือกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน จนเกิดผลเสียต่างๆ ตามมา

อย่างไรก็ตาม บริษัทเกมทั่วโลก รวมถึงสมาคมผู้ผลิตซอฟท์แวร์เพื่อความบันเทิง และสมาคมผู้ผลิตเกมของอังกฤษ ต่างออกมาคัดค้านองค์การอนามัยโลก โดยระบุว่ายังไม่มีงานวิจัยมากพอที่จะรับรองได้ว่าการติดเกมเป็นอาการป่วย และขอให้ WHO พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง

ขณะที่สมาคมจิตเวชอเมริกัน ชี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่บ่งชี้ว่า อาการติดเกมเป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง

ด้านคุณเชคาร์ ซาเซนา ผู้เชี่ยวชาญของ WHO กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า มีรายงานวิจัยที่ชี้ว่า คนที่เล่นเกมถึงวันละ 20 ชม. จะเกิดปัญหาต่อการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การทำงาน การนอนหลับ และการรับประทานอาหาร และแม้คนที่เล่นเกมในปริมาณน้อยกว่านั้นก็อาจเกิดผลเสียในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการจัดให้อาการติดเกมนี้เป็นอาการป่วย ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ป้องกันผลเสียดังกล่าวได้

นอกจาก "อาการติดเกม" แล้ว WHO ยังได้จัดให้ "ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน" เป็นอาการป่วยอย่างหนึ่งเช่นกัน

องค์กรอนามัยโลก ให้คำจำกัดความใหม่ของอาการป่วยที่เกิดจากความเหนื่อยล้าในการทำงาน หรือ Burnout syndrome ว่าเกิดจากความเครียดเรื้อรังที่ไม่สามารถควบคุมได้

ในคู่มือ "การจัดหมวดหมู่ของโรคหรือปัญหาทางสุขภาพตามสถิติระหว่างประเทศ" หรือ ICD-11 แม้ WHO จะมิได้ระบุว่าความเหนื่อยล้านี้เป็นโรคทางการแพทย์ แต่ก็ชี้ว่าเป็น "ปรากฎการณ์ด้านการทำงาน" ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพและควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ด้วย

WHO บอกด้วยว่า ความเหนื่อยล้าในที่นี้ หมายถึง อาการหมดแรง หมดพลังงาน จิตใจล่องลอยไปจากงานที่อยู่ตรงหน้า หรือมีความรู้สึกด้านลบอย่างรุนแรงต่องานที่ทำอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนเห็นด้วยกับการปรับคำจำกัดความของ Burnout syndrome ในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ที่มีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานแบบเรื้อรัง สามารถตัดสินใจพบแพทย์เพื่อขอการรักษาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ที่คุณหมอจำนวนมากยังอาศัยคู่มือฉบับนี้ของ WHO เป็นแนวทางในการวินิจฉัยโรค

หนองหานทะเลบัวแดงอันดับ 2 ทะเลสาบแปลกสุดในโลก

หนองหาน’ เลื่องชื่อCNN เลือก อันดับ 2 ทะเลสาบแปลกสุดในโลก



 ‘หนองหาน’ ของไทย...ดังกระหึ่ม.. ‘ซีเอ็นเอ็น’ เลือกเป็นอันดับ 2 ทะเลสาบที่แปลกสุดในโลก ด้วยความสวยงามของดอกบัวแดงนับหมื่นๆ ดอกที่จะบานสะพรั่งพร้อมกันเต็มบึง ขณะที่ อันดับ 1 คือ ทะเลสาบแมงกะพรุน ในประเทศปาเลา...

ความงามของดอกบัวแดง ที่ ‘หนองหาน’ ของไทยเลื่องชื่อ...เมื่อเว็บไซต์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ วันที่ 12 ก.ค. เลือก ‘หนองหาน’ ในประเทศไทย ติดอันดับ 2 ของทะเลสาบแปลกที่สุดในโลก ซึ่งไม่เหมือนกับทะเลสาบอื่นทั่วไป รองจากทะเลสาบแมงกะพรุน ในสาธารณรัฐปาเลา ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของฟิลิปปปินส์ โดยบรรยายถึงความงดงามของดอกบัวแดง ในทะเลสาบหนองหาน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี จนเลือกให้เป็นทะเลสาบแปลกสุดในโลกอันดับ 2 ว่าเป็นเพราะความงามของดอกบัวแดงหลายพันหลายหมื่นดอก ที่จะเบ่งบานอยู่บนผิวน้ำที่ทะเลสาบหนองหาน เนื้อที่นับ 20,000 ไร่ โดยดอกบัวจะเริ่มผลิบานตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นประจำทุกปี หลังสิ้นสุดฤดูฝนเพียงไม่นาน และจะบานสะพรั่งในเดือนธันวาคม

สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ บอกว่า ชาวบ้านใกล้เคียงจะพายเรือไปชื่นชมความงามของดอกบัวแดงที่เป็นภาพสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ และเรียกกันว่า ‘ทะเลบัวแดง’ โดยภาพดอกบัวบานจะสวยที่สุดในช่วงเช้าก่อนเที่ยง เมื่อดอกบัวเริ่มผลิบานรับแสงแดดยามเช้า เผยให้เห็นกลีบสีชมพู (ไม่ใช่สีแดง ตามชื่อเรียก)
พร้อมกับบอกด้วยว่า ทะเลสาบแห่งนี้ อยู่ในจังหวัดอุดรธานี ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางเหนือราว 350 กม. และดอกบัวจะบานถึงเดือน มี.ค.ของทุกปี
สำหรับทะเลสาบที่แปลก
เมื่อจัดอันดับทะเลสาบแปลกสุดในโลก
หนองหานเลื่องชื่อCNN เลือก อันดับ2

  

ทะเลสาบแมงกะพรุน ในสาธารณรัฐปาเลา 
ครองอันดับ 1

ทะเลสาบแอสฟัลท์ (ยางมะตอย) แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านลาเบรีย บนเกาะตรีนิแดด 
ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 100 เอเคอร์ (253 ไร่)
อันดับ 3 ของโลก จากการคัดเลือกโดยซีเอ็นเอ็น ได้แก่ ทะเลสาบลา เบรีย พิตช์ ในประเทศตรินิแดด, 


อันดับ 4 บึงเดือด หรือ Boiling Lake ในประเทศดอมินีกา ประเทศเกาะในทะเลแคริบเบียน,

อันดับ 5 ทะเลสาบมานิควอกัน ประเทศแคนาดา,

ทะเลสาบลากูน่า โคโลราโด (Laguna Colorada) หรือเป็นที่รู้จักในอีกชื่อคือ Red Lagoon
อันดับ 6 , ทะเลสาบโคโลราโด ในโบลิเวีย


อันดับ 7 ทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟ เอรีบัสในทวีปแอนตาร์กติกา, 

ทะเลสาบแห่งหัวใจหญิงสาวที่โด่งดังไปทั่วโลกโซเซียลนี้ เป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิล (Middle Island) ในออสเตรเลีย แต่เนื่องจากน้ำในทะเลสาบมีสีชมพูคล้ายนมเย็น ทำให้ถูกคนท้องถิ่นเรียกว่า “หัวใจหญิงสาว”
อันดับ 8 ทะเลสาบฮิลเลียร์ ในออสเตรเลีย
ส่วนทะเลสาบ เดด ซี ในจอร์แดน ซึ่งชาวโลกรู้จักกันดีอยู่ในอันดับ 15
15อันดับทะเลสาบแปลก

จำนวนแมลงของโลกกำลังลดลงในระดับที่อาจนำไปสู่การล่มสลายของระบบนิเวศ


จำนวนแมลงของโลกกำลังลดลงไปอย่างน่าตกใจในระดับที่จะนำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของโลกและจะนำไปสู่การล่มสลายของระบบนิเวศทางธรรมชาติจากรายงานของผลการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ the journal Biological Conservation
การวิเคราะห์ของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์พบว่าสายพันธุ์แมลงต่างๆมากกว่า 40% กำลังลดลงอย่างน่าใจหาย และอีกหนึ่งในสามกำลังใกล้ที่จะสูญพันธุ์ อัตราการสูญพันธุ์ได้เกิดขึ้นเร็วกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนกและสัตว์เลื้อยคลานถึงแปดเท่า จำนวนรวมของแมลงทั้งหมดลดลงในอัตรา 2.5% ต่อปีในช่วงเวลา 25-30
ที่ผ่านมาจากข้อมูลที่ดีที่สุดที่มีอยู่ และถ้าการลดลงยังคงมีอยู่ในอัตรานี้แมลงทั้งหมดจะสูญพันธุ์ไปภายในหนึ่งศตวรรษ

การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นบนโลกมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่หกกำลังเริ่มต้นขึ้น การศึกษาการสูญพันธุ์ของสัตว์ใหญ่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่า แต่การศึกษาการสูญพันธุ์ของแมลงเป็นสิ่งที่ยากและซับซ้อนกว่าเนื่องจากเป็นเป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายมากกว่า

แมลงเป็นสิ่งจำเป็นในธรรมชาติอย่างมากที่ทำให้ระบบนิเวศบนโลกทำงานได้อย่างเหมาะสมและสมดุล แมลงเป็นอาหารสำหรับสัตว์ต่างๆ และยังมีหน้าที่ที่สำคัญในการผสมเกสรพันธุ์พืชและดอกไม้ ปราศจากแมลงเหล่านี้จะมีผลกระทบลูกโซ่ทางนิเวศอย่างร้ายแรง
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าหากเราไม่ปรับปรุงเปลี่ยนวิธีการผลิตอาหารของเราแมลงโดยรวมจะมุ่งสู่เส้นทางของการสูญพันธุ์ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า การเกษตรเชิงอุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลดลงของแมลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างมาก นอกจากนั้นพื้นที่ของเมืองที่เติบโตขึ้นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน

ผลกระทบหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดของการสูญเสียแมลงไปคือผลกระทบกับนกสัตว์เลื้อยคลานสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและปลาที่กินแมลงเป็นอาหาร เมื่อแหล่งอาหารเหล่านี้หายไปสัตว์เหล่านี้จะอดตาย ผลกระทบดังกล่าวได้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วในประเทศเปอร์โตริโกซึ่งการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าแมลงบนพื้นดินลดลงไป 98% ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา
จากการศึกษาพบว่าพืชป่ากว่า 80% ใช้แมลงในการผสมเกสรและ 60% ของนกต้องการแมลงเหล่านี้เป็นอาหาร จำนวนแมลงที่ลดลงจะนำไปสู่การสูญเสียพืชผลและการสูญเสียนกและสัตว์ต่างๆที่เป็นกินแมลงเป็นอาหาร และนั้นจะไปทำลายห่วงโซ่อาหารทางธรรมชาติซึ่งนำไปสู่ความหายนะของระบบนิเวศทางธรรมชาติ

นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำการปรับปรุงวิธีการทางการเกษตรที่มีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างจริงจังและการทดแทนด้วยวิธีการทางนิเวศวิทยาที่ยั่งยืนแทน

นักวิทย์วิตกภาวะโลกร้อนจ่อทำระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

นักวิทย์หวั่นวิตก เชื่อภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงกว่าที่คาดการณ์กันไว้มาก หลังจากมีรายงานออกมา ระบุ ในปี 2100 ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นไม่ถึง 1 เมตรเท่านั้น

เมื่อ 21 พ.ค.62 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังหวั่นวิตกเชื่อว่าโลกอาจเผชิญระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้มาก อันเนื่องมาจากแผ่นน้ำแข็งละลายที่ขั้วโลกกำลังละลาย จากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นมากสุดในระดับต่ำกว่า 1 เมตร ภายในปี ค.ศ.2100 หรืออีก 81 ปีข้างหน้า

จากผลการศึกษาใหม่ ซึ่งได้จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกอาจสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า ซึ่งจะส่งผลทำให้ประชาชนหลายร้อยล้านคนได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้ง และต้องย้ายที่อยู่อาศัยหนีน้ำท่วม
บีบีซี รายงานด้วยว่า คำถามเกี่ยวกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีข้อถกเถียงกันมากที่สุด โดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (IPCC) หลังจากมีรายงานการประเมินครั้งที่ 5 ที่ตีพิมพ์ในปี 2556 ระบุภาวะโลกร้อนที่ยังคงดำเนินต่อไปว่า หากไม่มีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมากแล้ว สามารถทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นระหว่าง 52-98 ซม. ในปี 2100 

แต่ตามความเห็นของนักวิจัยเชื่อว่า ถ้าหากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงอยู่ในทิศทางนี้ต่อไป จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงถึงประมาณ 62-238 ซม. ภายในปี 2100 เลยทีเดียว เนื่องจากอุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นประมาณ 5 องศาเซลเซียส โดยปัจจุบันนี้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นแล้ว 2 องศาเซลเซียส ยังคงส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์

 ดินแดนทางเหนือสุดของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกและเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นปัจจัยสำคัญเดียวที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น แต่ถ้าวันใดที่อุณหภูมิโลกสูงกว่านี้ แผ่นน้ำแข็งที่มหาสมุทรแอนตาร์กที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก จะเริ่มละลาย อันเป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก.

ไทยติด 10 อันดับ ประเทศที่ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงแรงสุดในโลก

รายงาน Global Climate Risk Index 2019 ที่นำเสนอในช่วงการประชุม COP 24 หรือการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 ในเดือนธันวาคม 2018 ที่คาโตวีตเซ ประเทศโปแลนด์ เปิดเผยว่า ประเทศในเอเชียได้รับกระทบและความเสียหายมากที่สุดจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น โดยใน 10 อันดับของประเทศที่ได้รับผลกระทบมากสุด ซึ่งนำโดยเปอรโตริโกนั้น มีเอเชียรวมอยู่ถึง 5 ประเทศ
รายงาน Global Climate Risk Index 2019 ได้รวบรวมผลกระทบของแต่ละประเทศและภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2017 เช่น น้ำท่วม พายุ คลื่นความร้อนและช่วงปี 1998-2017 และนำผลมาจัดอันดับโดยใช้จำนวนผู้เสียชีวิตและความสูญเสียที่เป็นตัวเงิน

🌍ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติมากกว่า 526,000 คน จากผลของการเปลี่ยนแปลงอากาศแบบสุดขั้วถึงมากกว่า 11,500 เหตุการณ์ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจช่วงปี 1998-2017 มูลค่าราว 3.47 ล้านล้านดอลลาร์

ในปี 2017 เปอโตริโกได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด รองลงมาคือ ศรีลังกา ส่วนอันดับ 3 คือ โดมินิกัน ขณะที่อันดับ 4 คือ เนปาล อันดับ 5 เปรู อันดับ 6 เวียดนาม อันดับ 7 มาดาร์กัสกา อันดับ 8 เซียร์ราลีโอน อันดับ 9 บังกลาเทศ และอันดับ 10 ประเทศไทย

เดือนพฤษภาคม 2017 ดินถล่มและน้ำท่วมในศรีลังกาหลังจากฝนฤดูมรสุมตกหนักในทางตะวันตกเฉียงใต้ และฝนที่ตกหนักในมหาสมุทรอินเดียทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คนนับตั้งแต่ปี 2003 ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 600,000 คนและมีพื้นที่ได้รับผลกระทบถึง 12 เขต โดยที่เมืองรัตนปุระได้รับผลกระทบมากสุดมีประชาชนได้รับผลจากน้ำท่วมกระทันกันถึงมากกว่า 20,000 คน มีความเสียหายทางเศรษฐกิจ 3 พันล้านดอลลาร์
ฝนที่ตกหนักในเนปาล บังคลาเทศ และอินเดียซึ่งติดอันดับที่ 14 ส่งผลกระทบกับประชาชนกว่า 40 ล้านคน เสียชีวิต 1,200 คนและสูญหายอีกกว่า 1 ล้านคนในทั้งสามประเทศ น้ำท่วมกินพื้นที่ไปถึงตีนเขาหิมาลัย ทำให้เกิดดินถล่มสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน ไร่นาและเส้นทางคมนาคม

เนปาลซึ่งประสบกับน้ำท่วมกระทันหันและดินถล่มในเดือนสิงหาคมในพื้นที่ชายแดนทางใต้มีความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 600 ล้านดอลลาร์ มีผู้เสียชีวิตราว 250 คนจากบ้านเรือนถล่มและจมไปกับสายน้ำ บ้านเรือนพัง 950,000 หลัง ขณะที่บังคลาเทศเสียหายทางเศรษฐกิจราว 2.8 พันล้านดอลลาร์ อินเดียเสียหาย 13.7 พันล้านดอลลาร์

🌋ในประเทศไทยฝนเริ่มตกหนักตั้งแต่ต้นปี 2017 ต่อเนื่องไปจนถึงฤดูร้อนทำให้ประชาชนในภาคใต้ได้รับผลกระทบกว่า 1.6 ล้านคน จากเส้นทางรถยนต์และรถไฟถูกตัดขาด มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 คน ในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว นอกจากนี้ยังน้ำท่วมส่งผลให้เกิดคลื่นแรงกวาดชีวิตคนไป 18 คนและยังเอ่อล้นท่วมหลายหมู่บ้าน โรงเรียนกว่า 1,500 แห่งต้องปิดการเรียนการสอน ความเสียหายทางเศรษฐกิจของไทยรวมมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์

ส่วนประเทศที่ได้รับผลกระทบมาเป็นระยะยาวตั้งแต่ปี 1998-2017 เปอโตริโกยังเป็นประเทศที่ได้รับผลรุนแรงที่สุด รองลงมาคือ ฮอนดูรัส อันดับสามคือ เมียนมา อันดับสี่ เฮติ อันดับห้า ฟิลิปปินส์ อันดับหก นิการากัว อันดับเจ็ดบังกลาเทศ อันดับแปด ปากีสถาน อันดับเก้าเวียดนาม และอันดับสิบ โดมินิกัน


ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาจากการเกิดคลื่นความร้อน ฝนตกหนัก และน้ำท่วมชายฝั่ง ได้มีการบันทึกไว้ไในรายงาน Fifth Assessment Report ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ปี 2014 และยังคาดการณ์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเหตุภัยพิบัติต่างๆ ว่าจะเพิ่มขึ้นจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นักวิจัยยังพบข้อมูลอีกว่า อุณหภูมิผิวน้ำคือปัจจัยหลักในการทำให้ความเร็วของลมพายุเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักมากขึ้น ขณะที่รายงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ปริมาณฝนที่ตกหนักในช่วงเกิดพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ปี 2017 เท่ากับฝนที่ตกในมหาสมุทร ดังนั้นจึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเล

😥นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ของเอลนีโญและภาวะโลกร้อนจากการทำวิจัยในปี 2014 ซึ่งบ่งชี้ว่าเหตุภัยพิบัติจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

เรียบเรียงจาก : Global Climate Risk Index2019,nationalgeographic,theguardian,accuweatherkfm,tass,thaipublica.org

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน