Custom Search

พบ ฟอสซิลลูกนก จากยุคไดโนเสาร์อยู่ในอำพัน

🐥ลูกนกตัวนี้อยู่ในกลุ่มอีแนนทีออร์นีทีส (Enantiornithes) ซึ่งสูญพันธุ์ไปพร้อมๆกับไดโนเสาร์ในช่วงสิ้นสุดยุคครีเทเชียส เมื่อราว 65 ล้านปีก่อน การสำรวจครั้งนี้ที่ได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากคณะกรรมการเพื่อการเดินทางสำรวจของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ได้ให้ข้อมูลใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับนกที่มีฟันในยุคโบราณชนิดนี้ และความแตกต่างระหว่างพวกมันกับนกในปัจจุบัน
ลูกนกตัวนี้ยังเป็นฟอสซิลสภาพสมบูรณ์ที่สุดที่ค้นพบในอำพันจากพม่าด้วย ซึ่งขุดได้จากเหมืองในหุบเขา Hukawng ทางตอนเหนือของพม่า
จากรูปแบบการผลัดขนของมัน นักวิจัยระบุได้ว่า ลูกนกตัวนี้มีอายุเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ตอนที่มันถูกห่อหุ้มด้วยยางไม้เหนียวๆและแช่แข็งอยู่ในกาลเวลา ร่างของมันเกือบครึ่งหนึ่งได้รับการรักษาสภาพไว้ในตัวอย่างขนาด 7.5 เซนติเมตร รวมถึงส่วนหัว ปีก ผิวหนัง ขน และเท้าที่มีกรงเล็บซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ขนของมันมีหลายสีตั้งแต่สีขาวและน้ำตาลไปจนถึงเทาเข้ม

การค้นพบครั้งนี้รายงานโดยนักวิจัยกลุ่มเดียวกับที่ค้นพบหางของไดโนเสาร์เทอโรพอดที่มีขนซึ่งคงสภาพอยู่ในอำพันเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โครงสร้างของขนไดโนเสาร์บ่งชี้ว่ามันน่าจะบินไม่ได้ ในทางกลับกัน การค้นพบปีกของอีแนนทีออร์นีทีสในอำพันก่อนหน้านี้เผยให้เห็นโครงสร้างของขนที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าทึ่งกับขนของนกที่บินได้ในปัจจุบัน

🐤ในตัวอย่างชิ้นนี้ 
นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นว่า ขณะที่ลูกนกอีแนนทีออร์นีทีสมีขนสำหรับบินขึ้นเต็มที่บนปีกแล้ว ขนส่วนที่เหลือกลับหร็อมแหร็ม และเหมือนกับขนของไดโนเสาร์เทอโรพอดซึ่งไม่มีก้านขน (rachis) มากกว่า

การรักษาสภาพอันน่าทึ่ง: คนงานเหมืองอำพันที่ค้นพบตัวอย่างนี้คิดว่าพวกเขาพบกรงเล็บกิ้งก่า “แปลกประหลาด” จนกระทั่งนักวิจัยตระหนักว่า เท้านี้เป็นของนกจากยุคไดโนเสาร์

การที่นกวัยเยาว์เช่นนี้มีขนสำหรับบินช่วยสนับสนุนแนวคิดที่ว่า นกอีแนนทีออร์นีทีสฟักออกจากไข่พร้อมกับความสามารถในการบิน ซึ่งทำให้มันพึ่งพาการดูแลจากพ่อแม่น้อยกว่านกในปัจจุบันส่วนใหญ่

กระนั้น การไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่าย นักวิจัยชี้ว่า อัตราการเติบโตที่ช้าทำให้นกโบราณเหล่านี้สุ่มเสี่ยงมากขึ้นเป็นเวลานานขึ้น ตามหลักฐานที่พบนกอีแนนทีออร์นีทีสวัยเยาว์จำนวนมากในอำพัน
(ซ้าย) นกยุคแรก : ขนที่ได้รับการรักษาสภาพไว้แสดงให้เห็นว่า ลูกนกตัวนี้ตายในระหว่างการผลัดขนครั้งแรก ซึ่งชี้ว่ามันถูกฝังอยู่ในอำพันในช่วงวันแรกๆหรือสัปดาห์แรกๆของชีวิต (ขวา) มองกลับไปในอดีต : กระดูก ผิวหนัง และเนื้อเยื่ออ่อน ทั้งหมดนี้ล้วนถูกห่อหุ้มอยู่ในอำพัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์
ได้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับไดโนเสาร์โบราณกลุ่มหนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว
ละทิ้งรัง : ขนจากปีกของลูกนกแสดงว่า มันสามารถบินได้ทันทีหลังฟักออกจากไข่ ผิดกับนกในปัจจุบันส่วนใหญ่
นกตัวนี้อยู่ในกลุ่มนกโบราณที่มีฟันชื่อว่า อีแนนทีออร์นีทีส ซึ่งสูญพันธุ์ไปพร้อมๆกับไดโนเสาร์ การจำลองขึ้นมาใหม่นี้จับท่าทางของลูกนกตามที่ได้รับการรักษาสภาพไว้ในอำพัน

พบฟอสซิลวาฬ 43 ล้านปีมี 4 ขาที่เปรู

🕵️‍♂️นักบรรพชีวินวิทยานานาชาติจากเปรู ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ขุดพบซากฟอสซิลวาฬยุคดึกดำบรรพ์ อายุ 43 ล้านปี มี 4 ขา ตีนเหมือนเป็ด ที่ประเทศเปรู ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และจากการตรวจวิเคราะห์เชื่อว่า สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดความยาวลำตัว 4 เมตรตัวนี้ ปรับร่างกายให้สามารถว่ายน้ำ และเดินบนบกได้ 

👨นักวิจัยเชื่อว่า การค้นพบจะช่วยไขปริศนาวิวัฒนาการของวาฬ และวิธีการแพร่ขยายพันธุ์ของพวกมัน ดร.โอลิเวีย แลมเบิร์ต นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งราชสำนักเบลเยียม กล่าวว่า นี่เป็นตัวอย่างฟอสซิลวาฬ 4 ขา ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่เคยมีการขุดพบนอกอินเดียและปากีสถาน 

🐋ฟอสซิลวาฬตัวนี้ถูกพบในดินตะกอนชายฝั่ง ประมาณ 1 กิโลเมตรจากชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ในเขตเมืองปลายา เมเดีย ลูนา สถานที่พบสร้างความตื่นเต้นแก่ทีมนักวิจัย เนื่องจากเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดวิวัฒนาการของวาฬที่พบในเอเชียใต้ เมื่อประมาณ 50 ล้านปีก่อน
เนื่องจากร่างกายของพวกมันปรับตัวให้เข้ากับน้ำได้มากขึ้น เชื่อว่าพวกมันอพยพต่อไปยังแอฟริกาเหนือ และอเมริกาเหนือ ที่ซึ่งมีการขุดพบซากฟอสซิล และการค้นพบล่าสุดบ่งชี้ว่า วาฬ 4 ขาสามารถว่ายน้ำจากทวีปอเมริกาใต้ไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่กล่าวมา.

สุสานของกษัตริย์โมโซรุส

สุสานของกษัตริย์โมโซรุส 
The Mausoleum 
at Halicarnassus



สถานที่ตั้ง :เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี

⛪สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัสหรือโมโซรุส กษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ หรือเปอร์เซียในปัจจุบัน สร้างโดยพระมเหสีชื่อ อาเตมีสเซีย

ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาของพระองค์ด้วย ความตายของพระสวามี ทำให้พระนางเสียพระทัยมากถึงขนาดผสมเถ้าถ่านกระดูกของพระสวามีกับเครื่อง ดื่มของพระองค์ จึงสร้างสุสานไว้เป็นที่ระลึก คำว่า MAUSOLEUM จึงถูกใช้ขนานนามสุสานขนาดใหญ่ ๆ ในเวลาต่อมา


สุสานเก่าแก่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ เป็นผลงานของนายช่างผู้สร้างสรรค์ทั้ง 4 คน ด้วยกัน คือ ฟิดิอัส , ชาติรัสบายฮาซีส , สโคปปาส และ ทิโมทิอัส สร้างด้วยหินอ่อน ในปี ค.ศ. 156 – 190

มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยม เล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุด กำลังวิ่ง และ มีกษัตริย์พระมเหสียืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลาย สวยงามมาก

ในปัจจุบันนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนบางส่วนเพราะเกิดแผ่นดินไหวใน ศตวรรษที่ 12 – 13 ขึ้นและชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศอังกฤษชื่อ บริทิช มิวเซียม

อบอุ่นหัวใจ โรงเรียนกลางหุบเขาในจีนยังคงเปิดสอน แม้มีนักเรียนคนเดียว

🙋‍♂️อ่านเรื่องราวสุดประทับใจ!!
โรงเรียนแห่งหนึ่งกลางหุบเขา
ในประเทศจีน ยังคงเปิดสอนหนังสือตามปกติ แม้มีนักเรียนเพียงคนเดียว

สำนักซินหัว เผยแพร่เรื่องราวที่น่าสนใจของโรงเรียนแห่งหนึ่งกลางหุบเขา ที่เมืองหนิงเซี่ยหุย ประเทศจีน โดยยังคงเปิดสอนหนังสือตามปกติ แม้มีนักเรียนเพียงคนเดียว

โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหม่าเถ้าจื่อ เมืองอู๋จง เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุยทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดย “หม่าเยี่ยนกั๋ว”
ครูใหญ่ของโรงเรียน อายุ 62 ปี เปิดเผยว่า ทุกเช้าวันจันทร์ หลังรองท้องด้วยไข่ 1 ฟอง เด็กชาย “หม่าเฟิงฉาย” วัย 8 ขวบนักเรียนคนเดียวของโรงเรียนนี้ จะมาเคารพธงชาติ โดยครูหม่าจะเชิญธงขึ้นเสาพร้อมร้องเพลงชาติด้วยเสียงและสำเนียงท้องถิ่นอันเด่นชัดของตัวเองโดยไม่มีเครื่องเสียง ส่วนเด็กชายหม่าจะยืนแสดงความเคารพตลอดพิธี 
“โรงเรียนอื่นๆ ก็จะต้องมีการเคารพธงชาติด้วย ต่อให้มีนักเรียนแค่คนเดียวก็ตาม” ครูหม่ากล่าว

โรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว รองรับครูและนักเรียนกว่า 180 คนในช่วงที่เฟื่องฟู ทว่าทุกวันนี้ เนื่องจากนักเรียนจำนวนมากต้องตามพ่อแม่ที่เข้าไปทำงานในเมือง นักเรียนที่สมัครเรียนที่นี่จึงน้อยลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่คนเดียว

สำหรับพ่อแม่ของเด็กชายหม่ายังต้องอาศัยอยู่บนเขตภูเขา สืบเนื่องจากสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ ครอบครัวของเขามีรายได้จากการทำงานในที่นา เลี้ยงวัวควายและแกะ และยังได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีกจำนวนหนึ่ง โดยเด็กชายหม่ายังต้องเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ ส่วนพี่สาวของเขาโตพอที่จะย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำในเมืองข้างเคียง

ด้านครูหม่าเองยังเลือกจะอยู่ที่นี่ แม้เขาควรจะเกษียณอายุไปตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วก็ตาม ซึ่งเจ้าตัวระบุว่า เด็กชายหม่าต้องพึ่งวิชาความรู้เท่านั้นจึงจะเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ เด็กที่ได้รับการศึกษาอย่างดีจะช่วยนำพาครอบครัวหลุดพ้นความยากจน

แม้จะมีเพียงแค่สองคน แต่ตารางเรียนของครูและนักเรียนคู่นี้ยังดูอัดแน่นด้วยชั่วโมงเรียนต่างๆ โดยมีครูหม่ารับหน้าที่สอนหนังสือทุกวิชา

“เราจะยังเปิดโรงเรียนต่อไปตราบเท่าที่มันยังจำเป็นอยู่” สือเอี้ยนอวี้ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษาอำเภอถงซินที่ดูแลหมู่บ้านหม่าเถ้าจื่อ กล่าว

อนึ่ง รัฐบาลจีนมุ่งมั่นจะจัดการศึกษาภาคบังคับแก่นักเรียนทุกคนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยข้อมูล ณ ปี 2018 เผยว่าจีนมีโรงเรียนขนาดเล็กอย่างโรงเรียนของหม่าในพื้นที่ชนบทห่างไกลราว 101,400 แห่ง แม้โรงเรียนแบบนี้จะมีนักเรียนเพียงน้อยนิด แต่ยังคงได้รับการลงทุนทั้งนโยบายและเงินทุนเพื่อส่งเสริมการบริหารโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งอินเทอร์เน็ต ยกระดับอุปกรณ์การสอน และปรับเงินเดือนของครูผู้สอน เช่นครูหม่าสอนอยู่ที่โรงเรียนนี้มากว่า 40 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้น

สอดคล้องกับเมื่อปี 2018 กระทรวงศึกษาธิการของจีนออกแผนกระตุ้นให้ครูวัยปลดเกษียณกลับมาทำหน้าที่สนับสนุนการศึกษาในพื้นที่ชนบท และหม่าเยี่ยนกั๋วก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนปีละ 20,000 หยวน (ราว 86,000 บาท)

👨‍🏫แม้ว่าครูหม่าจะไม่สามารถสอนวิชาดนตรีหรือศิลปะด้วยตัวเองได้ แต่เด็กชายหม่ายังเข้าไปเรียนบทเรียนที่บันทึกเทปเอาไว้ผ่านระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งยังช่วยให้เด็กชายคนนี้สามารถพูดสำเนียงจีนกลางได้ชัดเจน ตรงกันข้ามกับสำเนียงของครูหม่า

“เด็กชายหม่าค่อนข้างขี้อายและอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา เนื่องจากไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก เราจึงพยายามในการกระตุ้นให้เขาพูด บางทีก็ชอบถามคำถามในห้อง เราอยากให้เขาสดใสร่าเริงเหมือนกับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน” ครูหม่ากล่าว

ครูหม่าและภรรยาซึ่งมีหลานอาศัยอยู่ในเมืองให้ดูแล แต่ทั้งสองย้ายมาอาศัยอยู่ที่โรงเรียนเพื่อดูแลโรงเรียนและนักเรียนเพียงคนเดียว บางครั้งเวลาฝนตกหรือหิมะตก ครูหม่าจะเดินไปส่งเด็กชายตัวน้อยถึงหน้าบ้าน

หลังเลิกเรียนเด็กชายหม่าจะต้องเดินเท้ามุ่งสู่ถนนคดเคี้ยวกลับบ้านเพียงคนเดียว หากพอจะมีเพื่อนก็คงเป็นกังหันลมที่ตั้งตระหง่านอยู่ตามเนินสูง ถึงแม้อย่างแรกที่ต้องทำเมื่อกลับถึงบ้านคือการต้อนฝูงวัวควายและแกะ แต่เขาก็ไม่เคยลืมทำการบ้านให้เสร็จตามเวลาสักครั้ง

“เราจัดสรรเครื่องไม้เครื่องมือเรียนออนไลน์แบบเรียลไทม์ไว้ด้วย หม่าจะได้มี “เพื่อนร่วมชั้น’” และพวกเขาจะได้เห็นหน้ากันและมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างผ่านหน้าจอ” ครูหม่ากล่าวทิ้งท้าย

นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน คางยื่นแบบราชวงศ์ฮับสเบิร์กเกิดจากสมรสในหมู่เครือญาติ

นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน 
คางยื่นแบบราชวงศ์ฮับสเบิร์กเกิดจากสมรสในหมู่เครือญาติ
🎭พระเจ้าชาร์ลส์ที่สองแห่งสเปน กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮับสเบิร์กบรรดานักประวัติศาสตร์ทั่วโลกเคยสงสัยกันว่า รูปหน้าที่มีคางยื่นยาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสมาชิกราชวงศ์ฮับสเบิร์ก (Habsburg) ราชสกุลที่เคยครองอำนาจในยุโรปยาวนานถึงหลายร้อยปีนั้น น่าจะเป็นความผิดปกติซึ่งเกิดจากเชื้อพระวงศ์นิยมสมรสกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแสดงหลักฐานที่พิสูจน์ยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้

ล่าสุดทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซานเตียโกเดคอมโพสเตลา (University of Santiago de Compostela) ของสเปน ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาลงในวารสาร Annals of Human Biology โดยแสดงหลักฐานยืนยันว่า คางที่ยื่นยาวหรือ "ขากรรไกรฮับสเบิร์ก" (Habsburg jaw) เป็นผลมาจากความอ่อนแอทางพันธุกรรมเนื่องจากสายเลือดชิดจริง

รูปหน้าที่บิดเบี้ยวดังกล่าวจัดว่าเป็นลักษณะหนึ่งของภาวะการสบฟันผิดปกติ (mandibular prognathism) เนื่องจากขากรรไกรล่างยื่นยาวออกมามากเกินไป พบได้ในหมู่ผู้มีเชื้อสายราชวงศ์ฮับสเบิร์ก ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Roman Empire) ซึ่งมีอำนาจเหนือหลายแคว้นในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก รวมทั้งสเปนและออสเตรียด้วย

การสมรสในหมู่เครือญาติใกล้ชิด ถือเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันแพร่หลายในหมู่เชื้อพระวงศ์ฮับสเบิร์ก เพื่อรักษาและขยายอำนาจการปกครองในภูมิภาค ทำให้ยีนด้อยที่สืบทอดภายในสายเลือดเดียวกันมีโอกาสแสดงตัวออกมาชัดเจน จนเชื้อพระวงศ์ฮับสเบิร์กแต่ละคนมีใบหน้าที่แสดงอาการขากรรไกรยื่นมากน้อยต่างกันออกไป

🏛กรุงเวียนนาของออสเตรียเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจการปกครองของราชวงศ์ฮับสเบิร์กหลายร้อยปี
ความผิดปกตินี้ปรากฏชัดเจนอย่างมากกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองแห่งสเปน กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮับสเบิร์ก ซึ่งพระราชบิดามีศักดิ์เป็นพระมาตุลา (ลุง) ในพระราชมารดา โดยนอกจากจะมีพระพักตร์ผิดรูปรุนแรงจนเสวยพระกระยาหารได้ลำบากแล้ว ยังทำให้พระวรกายแคระแกร็น พระพลานามัยไม่สมบูรณ์ รวมทั้งไม่สามารถมีรัชทายาทได้ เป็นเหตุให้ราชวงศ์ฮับสเบิร์กที่เคยเกรียงไกรต้องล่มสลายไปในที่สุด

ทีมผู้วิจัยได้มอบหมายให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมใบหน้า 10 ราย วิเคราะห์ภาพเหมือนของบรรดาเชื้อพระวงศ์ฮับสเบิร์ก 15 พระองค์ จำนวน 66 ภาพ เพื่อวินิจฉัยว่ามีอาการของภาวะสบฟันผิดปกติ ซึ่งทำให้คางยื่น ปากล่างและปลายจมูกห้อยย้อยหรือไม่

😎บรรดาศัลยแพทย์ได้ให้คะแนนความรุนแรงของอาการขากรรไกรล่างยื่น และขากรรไกรบนเล็กผิดปกติกับเชื้อพระวงศ์แต่ละพระองค์ ซึ่งปรากฏว่าดัชเชสแมรีแห่งเบอร์กันดี มีร่องรอยของอาการดังกล่าวน้อยที่สุด ในขณะที่พระเจ้าฟิลิปที่สี่แห่งสเปน มี "ขากรรไกรฮับสเบิร์ก" ปรากฏชัดเจนที่สุด ส่วนอาการขากรรไกรบนเล็กและสั้นแสดงออกอย่างรุนแรงในเจ้าของภาพเหมือน 5 ราย รวมทั้งพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองแห่งสเปนด้วย

ผลวิเคราะห์ยังชี้ว่า ความผิดปกติทั้งสองประเภทข้างต้นมีความสัมพันธ์ทางสถิติมากพอที่จะชี้ว่า เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม โดยทีมผู้วิจัยสามารถคำนวณหาความเกี่ยวข้องระหว่างการมีคางยื่นกับระดับความใกล้ชิดทางสายเลือดได้ จากแผนผังสายตระกูลของราชวงศ์ฮับสเบิร์ก ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 6,000 คน ใน 20 รุ่น

ศาสตราจารย์โรมัน ไวลาส ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า "ข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับราชวงศ์ฮับสเบิร์ก เปรียบเสมือนห้องทดลองที่ให้โอกาสเราได้เรียนรู้พันธุศาสตร์กับมนุษย์จริง ๆ แม้พวกเขาจะเป็นเพียงบุคคลในประวัติศาสตร์ไปแล้วก็ตาม""ทุกวันนี้ในบางส่วนของโลก รวมทั้งในบางชนเผ่าและกลุ่มความเชื่อทางศาสนาบางกลุ่ม ก็ยังนิยมการแต่งงานภายในเครือญาติอยู่ ดังนั้นงานวิจัยของเราจึงมีความสำคัญ ในแง่ที่จะสังเกตการณ์ผลที่อาจเกิดขึ้นตามมาจากพฤติกรรมนี้"

บล็อกเกอร์จีนตายคาไลฟ์สตรีม หลังเปิบพิสดาร ตะขาบ-ตุ๊กแก


บล็อกเกอร์หนุ่มชาวจีนแซ่ ซุน วัย 35 ปี ถูกพบว่าเสียชีวิตอยู่ภายในแฟลตของเขาในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย ประเทศจีน หลังจากถ่ายทอดสดภาพตัวเองกินแมลงมีพิษ เคี้ยวกรวมๆอย่างเอร็ดอร่อย 

สำนักข่าว เมโทร รายงานเมื่อ 24 ก.ค. 2562 ว่า แฟนสาวของนายซุนพบเขาในสภาพหมดสติอยู่ภายในห้องนอนในวันเสาร์ที่ 20 ก.ค. 


😂โดยก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งไลฟ์สตรีม หรือถ่ายทอดสดภาพตัวเองกินตะขาบ, หนอนนกและตุ๊กแกลงบนโลกออนไลน์ 

พร้อมกับดื่มสุราไปด้วย
ตำรวจยืนยันว่าในตอนที่พวกเขาไปถึง นายซุนก็ไม่มีชีพจรแล้ว พวกเขายังพบด้วยว่า คอมพิวเตอร์ของนายซุนยังคงถ่ายทอดสดภาพในห้องลงบนโลกออนไลน์ ขณะที่พบแมลงหลายชนิดบนโต๊ะของเขาอีกด้วย
 

ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นระบุว่า นายซุนมีช่องรายการของตัวเองบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของจีนชื่ว่า ‘DouYu’ โดยไม่นานมานี้เขาเพิ่งเริ่มกิจกรรมใหม่ 

โดยใช้หมุนวงล้อ เพื่อเลือกสิ่งที่เขาจะกินตั้งแต่แมลงไปจนถึงเหล้ากลั่น โดยกิจกรรมนี้ทำให้มียอดติดตามช่องของเขาเพิ่มถึง 15,000 คน

การถ่ายทอดสดครั้งสุดท้ายของนายซุนเกิดขึ้นในเวลา 19:53 น. วันพฤหัสบดีที่ 18 ก.ค. 2562 แต่ตอนนี้วิดีโอทั้งหมดของเขาถูกลบไปแล้ว ขณะที่ตำรวจกำลังตรวจสอบว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้เขาเสียชีวิต

เวนิสไล่ตะเพิดพร้อมปรับ 3 หมื่น สองนักท่องเที่ยวเยอรมันชงกาแฟริมทาง

เวนิสไล่ตะเพิดพร้อมปรับ
3 หมื่น สองนักท่องเที่ยวเยอรมันชงกาแฟริมทาง

ตร.อิตาลี ไล่ตะเพิดพร้อมปรับสองนักท่องเที่ยวเยอรมัน 32,000 บาท ฐานชงกาแฟริมสะพานเก่าแก่กลางเมือง

ตำรวจในเมืองเวนิส ของอิตาลีได้สั่งปรับสองนักท่องเที่ยวแบคแพคชาวเยอรมัน วัย 32 และ 35 ปี หลังจากที่มีผู้พบเห็นว่านักท่องเที่ยวทั้งสองรายกำลังเตรียมชงกาแฟ อยู่บริเวณทางขึ้นสะพาน Rialto bridge ซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ตั้งอยู่กลางเมือง

รายงานระบุว่านักท่องเที่ยวทั้งสองรายนี้ถูกตำรวจสั่งปรับเป็นจำนวนเงินถึง 950 ยูโร หรือราว 32,800 บาท ในข้อหากระทำพฤติกรรมไม่สมควร อีกทั้งตำรวจยังได้ขอให้พวกเขาเดินทางออกจากเมืองทันที
ทั้งนี้ สภาเมืองเวนิสเพิ่งผ่านกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของเมือง เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาโดยรวมถึง ห้ามกระทำการปิคนิคในบางพื้นที่ ห้ามเปลือยกายในที่สาธารณะ และห้ามอาบน้ำล้างตัวในน้ำพุสาธารณะ
Rialto Bridge 
"เวนิสจะต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ และคนที่ไม่สุภาพที่มาที่นี่ พวกเขาคิดว่าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจนั้น ต้องเข้าใจเสียใหม่ และเราขอขอบคุณตำรวจที่หยุดยั้งคนเหล่านั้น พร้อมสั่งปรับและไล่ออกจากเมือง" Luigi Brugnaro นายกเทศมนตรีเมืองเวนีสกล่าว

ในแต่ละปีประเมินว่ามีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยือนเวนิสเฉลี่ยปีละถึง 30 ล้านคน

หนุ่มติดเครื่องดื่มชูกำลัง ถึงขั้นดื่มวันละ 6 กระป๋อง จนทำให้ลิ้นหลุดลอก


ปัจจุบันเราจะเห็นสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มีรสหวานวางขายกันอย่างหลากหลาย และจากปริมาณน้ำตาลที่มากนี้เอง ซึ่งถ้าดื่มเข้าไปจำนวนมากก็ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายแน่นอน

Dan Royals คุณครูชาวออสเตรเลียก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเล่าว่า เขาติดเครื่องดื่มชูกำลังอย่างหนัก ชนิดที่ว่าในหนึ่งวันต้องดื่มถึง 5-6 กระป๋อง จนสุดท้ายเป็นสาเหตุให้ลิ้นของเขาต้องหลุดลอกออกมาจนต้องไปพบแพทย์

เขาได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “สำหรับใครที่ชอบดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง หรือติดขนาดจนเลิกไม่ได้ ลองมาดูรูปนี้และคิดดูอีกที นี่คือสิ่งที่เครื่องดื่มชนิดนี้ทำกับลิ้นของผม แล้วลองจินตนาการดูว่าอวัยวะภายในของคุณจะเสียหายขนาดไหน”


Dan โพสต์ต่อไปว่า “ผมติดเครื่องดื่มชูกำลังอยากหนัก อย่างน้อยต้องดื่มสัก 5-6 กระป๋องต่อวัน แต่ผมก็แปรงฟันทุกวัน จนกระทั่งมาหาหมอ และก็เป็นอย่างที่เห็น สารเคมีในเครื่องดื่มทำให้ลิ้นของผมเป็นแบบนี้”

นอกจากนี้ เขาก็บอกว่า แม้ว่าเขาจะสูบบุหรี่และรักษาสุขภาพในช่องปากเป็นอย่างดี แต่สาเหตุที่ทำให้ลิ้นของเขาเป็นแบบนี้ก็มาจากเครื่องดื่มเหล่านี้แน่นอน

และจากการวิจัยขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า การศึกษาในสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่า ฟันผุมีสาเหตุมาจากค่า pH ที่เป็นกรด และปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง ที่มีปริมาณน้ำตาลถึง 58 กรัมต่อหนึ่งกระป๋อง

อีกทั้งยังทำให้เกิดการสึกกร่อนของชั้นฟันและนำไปสู่การเสียวฟัน อย่างในรายของ Vinnie Pyner นักศึกษาวัย 21 ปี ที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังวันละ 6 กระป๋อง ซึ่งเขาอ้างว่ามันช่วยให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวเวลาไปเรียนหนังสือ จนทำให้ฟันหน้าของเขาผุกร่อนแทบทั้งหมด

และจากผลข้างเคียงนี้เอง ทางรัฐบาลในบางประเทศได้สั่งห้ามขายเครื่องดื่มชูกำลังให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี

นักวิทย์ฯ สร้าง tractor beam ลำแสงเคลื่อนย้ายวัตถุ จุดเริ่มต้นของการสร้าง UFO

สุดเจ๋ง!! นักวิทย์ฯ สร้าง tractor beam ลำแสงเคลื่อนย้ายวัตถุ จุดเริ่มต้นของการสร้าง UFO

ทุกๆคนมักจะเคยเห็น ลำแสง ที่ปล่อย ออกมาจาก ยานอวกาศ หรือ UFO ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ในภาพยนตร์ เรามักจะฉันลำแสงนั้น ดึงร่างของมนุษย์ หรือ สิ่งอื่นๆ ขึ้นไปบนตัวยาน 

อย่างเช่น ในภาพยนตร์ “Star Trek” หรือในนิยาย sci-fi หลายต่อหลายเรื่อง มักจะมีการนำเสนอลำแสงแปลกๆ ที่สามารถส่งผ่านไปยังวัตถุใดๆก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น ยานอวกาศ อุกาบาต หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตก็ว่ากันไป 
หลักการทำงานของเจ้าลำแสงแปลกประหลาดนี้คือ เมื่อมันพุ่งกระทบกับอะไรก็ตาม มันจะทำให้วัตถุนั้นถูก “ผลักหรือดึงดูด” ให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางของลำแสง ได้ดั่งใจนึก โดยมีชื่อเรียกว่า “tractor beam”

ในโลกความเป็นจริงนั้น ลำแสง tractor beam กำลังถูกพัฒนาขึ้นโดย เหล่านักวิทยาศาสตร์อังกฤษจากมหาวิทยาลัย Bristol และ Sussex พวกเขาได้พัฒนาต้นแบบลำแสงลากดึงวัตถุด้วย “เสียง” 

ที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรกในโลก โดยงานต้นแบบนี้ อาศัยลำโพงขนาดเล็กจิ๋ว 64 ตัว ที่สามารถสร้างคลื่นเสียงแบบ “Ultrasonic” (คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20 KHz ขึ้นไป 

โดยจะสูงขึ้นจนถึงเท่าใดนั้น ไม่ได้ระบุจำกัดเอาไว้ ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงเกินกว่าที่ประสาทหูมนุษย์จะได้ยิน และโดยทั่วไปหูของมนุษย์จะได้ยินเสียงความถี่สูงเฉลี่ยเพียงแค่ประมาณ 15 KHz)

โดยเมื่อจัดเรียงให้ลำโพงคลื่นเสียง Ultrasonic ทั้ง 64 ตัว หันในมุมที่เหมาะสมกัน ก็จะเกิดเป็น “acoustic hologram” หรือสนามพลังเสียง ที่มีความสามารถในการหนีบวัตถุให้ลอยไปมาตามทิศทางที่ต้องการ คือการบังคับ บน ล่าง ซ้าย ขวา ได้หมด
และจากการทดลองตัวต้นแบบของ Tractor Beam ในภาพนั้น มันสามารถยกวัตถุขนาดเท่าเม็ดถั่วให้ลอยไปมาบนแผงลำโพงได้ ซึ่งสามารถควบคุมวัตถุจากระยะ 30 – 40 ซม.
ให้สามารถเคลื่อนที่ตามต้องการได้ ต่อจากนี้ทีมพัฒนาหวังว่าจะสามารถพัฒนา Tractor Beam จนสามารถนำไปใช้งานได้จริง ซึ่งมันจะมีประโยชน์อย่างมากหากว่าสามารถเคลื่อนย้ายวัติถุหนักๆได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การขนส่ง เทคโนโลยีทางอวกาศหรือระบบขนย้ายวัตถุอันตราย เป็นต้น

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหัวหมาป่าในยุคน้ำแข็งที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด



นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียค้นพบส่วนของหัวหมาป่าขนยาวที่ตายไปเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว จากชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือที่เรียกว่า "permafrost" ในสาธารณรัฐยาคูเตีย (Yakutia) ของรัสเซีย 

โดยเบื้องต้นนี้นักวิจัยคาดว่าซากหัวนี้เป็นของหมาป่าพันธุ์ย่อย (subspecies) ที่อาศัยร่วมยุคกับช้างแมมมอธ และได้สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กัน 


นักวิจัยได้กล่าวว่าซากหัวหมาป่านี้ คือ หมาป่าที่โตเต็มวัยแล้ว 
และมีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าในปัจจุบันถึง 25% การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง

เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาได้ค้นพบเพียงหัวกะโหลกของหมาป่าที่ไม่มีเนื้อเยื่อหรือขนติดอยู่ แต่ซากหัวที่ค้นพบล่าสุดนี้เก็บรักษาสภาพส่วนของหู ลิ้น และสมองไว้ได้อย่างสมบูรณ์

ที่มาข่าว: phys.org news

พบซากไดโนเสาร์บินได้ ขนาดตัวเท่ากับแมว

Small-bodied pterosaur compared to domestic cat. (Mark Witton, University of Southampton)
นักวิทยาศาสตร์พบซากไดโนเสาร์บินได้ ขนาดตัวเท่ากับแมว!!

การค้นพบครั้งนี้คือซากบางส่วนของ pterosaur ซึ่งคาดว่ามีชีวิตอยู่เมื่อ 77 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งพบที่จังหวัด British Columbia ของประเทศแคนาดา เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว และถือว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวแรกที่บินได้
ผู้เขียนรายงานการวิจัยนี้คือ Elizabeth Martin-Silverstone นักศึกษาปริญญาเอกทาง Palaeobiology ที่มหาวิทยาลัย Southampton ในอังกฤษ

รายงานการศึกษานี้คาดว่า pterosaur ตัวนี้มีปีกยาวเพียง 1.5 เมตร ในขณะที่ pterosaurs ร่วมยุคสมัยโดยทั่วไปมีปีกยาวระหว่าง 4-11 เมตร

ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบนั้น ตัวใหญ่เท่ากับยีราฟ และมีปีกยาวพอๆ กับปีกเครื่องบินขนาดเล็ก
ในขณะนี้นักวิจัยยังลงความเห็นไม่ได้แน่นอนว่า pterosaur ตัวนี้เป็นพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนหรือเปล่า แต่ที่ตัดสินลงไปได้ก็คือ pterosaur ตัวเล็กตัวนี้อยู่ในประเภทของไดโนเสาร์ที่เรียกชื่อว่า azhdarchoids ซึ่งมีปีกสั้น และไม่มีฟัน

นักวิจัยบอกส่งท้ายว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นหลักฐานที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกทีว่า ในช่วงปลายยุคไดโนเสาร์ หรือ Cretaceous นี้ มีความหลากหลายมาก คือมีไดโนเสาร์ประเภท pterosaur หรือไดโนเสาร์บินได้ทั้งพันธุ์ใหญ่และเล็ก

เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์ หัวเหว่ย สั่งห้ามติดตั้งแอพพร้อมใช้บนมือถือ

เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์ หัวเหว่ย สั่งห้ามติดตั้งแอพพร้อมใช้บนมือถือ
FILE - A member of the media tries out new Huawei Honor 20 series of phones following their global launch in London, UK, May 21, 2019.

สื่อสังคมออนไลน์ เฟสบุ๊ก ตัดสัมพันธ์กับหัวเหว่ย ด้วยการสั่งห้ามหัวเหว่ยติดตั้งแอพพลิเคชั่นในเครือของเฟสบุ๊กทั้งหมด ในรูปแบบของ pre-install หรือแอพพลิเคชั่นพร้อมใช้บนสมาร์ทโฟน ตามคำสั่งของทางการสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทหัวเหว่ยทำธุรกิจกับอเมริกา

ทางเฟสบุ๊ก ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ ระบุว่า เฟสบุ๊กยกเลิกให้สิทธิอนุญาตให้บริษัทหัวเหว่ย ติดตั้งแอพพลิเคชั่นในเครือของเฟสบุ๊กทั้งหมดบนสมาร์ทโฟนของหัวเหว่ย นั่นหมายความว่าแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊กจะไม่ปรากฏเป็นแอพพลิเคชั่นพร้อมใช้จากหัวเหว่ยอีกต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนของหัวเหว่ยรุ่นที่จำหน่ายในปัจจุบัน สามารถโหลดและอัพเดทแอพพลิเคชั่นของเฟสบุ๊กได้อยู่ และทางเฟสบุ๊กยังไม่ลงรายละเอียดว่า ผู้ที่ซื้อสมาร์ทโฟนของหัวเหว่ยรุ่นใหม่ๆจะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาใช้ได้ภายหลังหรือไม่
การเคลื่อนไหวของเฟสบุ๊ก เกิดขึ้นหลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเริ่มยกระดับขึ้น

โดยเมื่อเดือนก่อน ทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอเมริกันขายเทคโนโลยีของบริษัทให้กับบริษัทหัวเหว่ยและบริษัทเทคโนโลยีของจีนรายอื่นๆ จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ

อนามัยโลกระบุ เหนื่อยจากงาน และ ติดเกมเป็นอาการป่วย


เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ระบุให้ "การติดเกม" และ "อาการเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน" เป็นอาการป่วยที่ควรได้รับการรักษาหรือคำแนะนำจากแพทย์

องค์การอนามัยโลก ระบุอย่างเป็นทางการว่า การติดเกม หรือ Gaming disorder เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทเดียวกับการติดสารเสพติด หรือพฤติกรรมเสพติดต่างๆ รวมถึง การติดการพนัน โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นไป

WHO ระบุไว้ใน "การจัดหมวดหมู่ของโรคหรือปัญหาทางสุขภาพตามสถิติระหว่างประเทศ" หรือ ICD-11 ว่า อาการติดเกม หมายถึง การเล่นเกมวนเวียนซ้ำๆ ซึ่งนำไปสู่ความบกพร่องในการควบคุมพฤติกรรมนั้นๆ และให้ความสำคัญต่อการเล่นเกมเป็นอันดับแรกเหนือความสนใจอื่นๆ หรือกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน จนเกิดผลเสียต่างๆ ตามมา

อย่างไรก็ตาม บริษัทเกมทั่วโลก รวมถึงสมาคมผู้ผลิตซอฟท์แวร์เพื่อความบันเทิง และสมาคมผู้ผลิตเกมของอังกฤษ ต่างออกมาคัดค้านองค์การอนามัยโลก โดยระบุว่ายังไม่มีงานวิจัยมากพอที่จะรับรองได้ว่าการติดเกมเป็นอาการป่วย และขอให้ WHO พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง

ขณะที่สมาคมจิตเวชอเมริกัน ชี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่บ่งชี้ว่า อาการติดเกมเป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง

ด้านคุณเชคาร์ ซาเซนา ผู้เชี่ยวชาญของ WHO กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า มีรายงานวิจัยที่ชี้ว่า คนที่เล่นเกมถึงวันละ 20 ชม. จะเกิดปัญหาต่อการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การทำงาน การนอนหลับ และการรับประทานอาหาร และแม้คนที่เล่นเกมในปริมาณน้อยกว่านั้นก็อาจเกิดผลเสียในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการจัดให้อาการติดเกมนี้เป็นอาการป่วย ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ป้องกันผลเสียดังกล่าวได้

นอกจาก "อาการติดเกม" แล้ว WHO ยังได้จัดให้ "ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน" เป็นอาการป่วยอย่างหนึ่งเช่นกัน

องค์กรอนามัยโลก ให้คำจำกัดความใหม่ของอาการป่วยที่เกิดจากความเหนื่อยล้าในการทำงาน หรือ Burnout syndrome ว่าเกิดจากความเครียดเรื้อรังที่ไม่สามารถควบคุมได้

ในคู่มือ "การจัดหมวดหมู่ของโรคหรือปัญหาทางสุขภาพตามสถิติระหว่างประเทศ" หรือ ICD-11 แม้ WHO จะมิได้ระบุว่าความเหนื่อยล้านี้เป็นโรคทางการแพทย์ แต่ก็ชี้ว่าเป็น "ปรากฎการณ์ด้านการทำงาน" ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพและควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ด้วย

WHO บอกด้วยว่า ความเหนื่อยล้าในที่นี้ หมายถึง อาการหมดแรง หมดพลังงาน จิตใจล่องลอยไปจากงานที่อยู่ตรงหน้า หรือมีความรู้สึกด้านลบอย่างรุนแรงต่องานที่ทำอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนเห็นด้วยกับการปรับคำจำกัดความของ Burnout syndrome ในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ที่มีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานแบบเรื้อรัง สามารถตัดสินใจพบแพทย์เพื่อขอการรักษาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ที่คุณหมอจำนวนมากยังอาศัยคู่มือฉบับนี้ของ WHO เป็นแนวทางในการวินิจฉัยโรค

หนองหานทะเลบัวแดงอันดับ 2 ทะเลสาบแปลกสุดในโลก

หนองหาน’ เลื่องชื่อCNN เลือก อันดับ 2 ทะเลสาบแปลกสุดในโลก



 ‘หนองหาน’ ของไทย...ดังกระหึ่ม.. ‘ซีเอ็นเอ็น’ เลือกเป็นอันดับ 2 ทะเลสาบที่แปลกสุดในโลก ด้วยความสวยงามของดอกบัวแดงนับหมื่นๆ ดอกที่จะบานสะพรั่งพร้อมกันเต็มบึง ขณะที่ อันดับ 1 คือ ทะเลสาบแมงกะพรุน ในประเทศปาเลา...

ความงามของดอกบัวแดง ที่ ‘หนองหาน’ ของไทยเลื่องชื่อ...เมื่อเว็บไซต์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ วันที่ 12 ก.ค. เลือก ‘หนองหาน’ ในประเทศไทย ติดอันดับ 2 ของทะเลสาบแปลกที่สุดในโลก ซึ่งไม่เหมือนกับทะเลสาบอื่นทั่วไป รองจากทะเลสาบแมงกะพรุน ในสาธารณรัฐปาเลา ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของฟิลิปปปินส์ โดยบรรยายถึงความงดงามของดอกบัวแดง ในทะเลสาบหนองหาน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี จนเลือกให้เป็นทะเลสาบแปลกสุดในโลกอันดับ 2 ว่าเป็นเพราะความงามของดอกบัวแดงหลายพันหลายหมื่นดอก ที่จะเบ่งบานอยู่บนผิวน้ำที่ทะเลสาบหนองหาน เนื้อที่นับ 20,000 ไร่ โดยดอกบัวจะเริ่มผลิบานตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นประจำทุกปี หลังสิ้นสุดฤดูฝนเพียงไม่นาน และจะบานสะพรั่งในเดือนธันวาคม

สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ บอกว่า ชาวบ้านใกล้เคียงจะพายเรือไปชื่นชมความงามของดอกบัวแดงที่เป็นภาพสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ และเรียกกันว่า ‘ทะเลบัวแดง’ โดยภาพดอกบัวบานจะสวยที่สุดในช่วงเช้าก่อนเที่ยง เมื่อดอกบัวเริ่มผลิบานรับแสงแดดยามเช้า เผยให้เห็นกลีบสีชมพู (ไม่ใช่สีแดง ตามชื่อเรียก)
พร้อมกับบอกด้วยว่า ทะเลสาบแห่งนี้ อยู่ในจังหวัดอุดรธานี ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางเหนือราว 350 กม. และดอกบัวจะบานถึงเดือน มี.ค.ของทุกปี
สำหรับทะเลสาบที่แปลก
เมื่อจัดอันดับทะเลสาบแปลกสุดในโลก
หนองหานเลื่องชื่อCNN เลือก อันดับ2

  

ทะเลสาบแมงกะพรุน ในสาธารณรัฐปาเลา 
ครองอันดับ 1

ทะเลสาบแอสฟัลท์ (ยางมะตอย) แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านลาเบรีย บนเกาะตรีนิแดด 
ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 100 เอเคอร์ (253 ไร่)
อันดับ 3 ของโลก จากการคัดเลือกโดยซีเอ็นเอ็น ได้แก่ ทะเลสาบลา เบรีย พิตช์ ในประเทศตรินิแดด, 


อันดับ 4 บึงเดือด หรือ Boiling Lake ในประเทศดอมินีกา ประเทศเกาะในทะเลแคริบเบียน,

อันดับ 5 ทะเลสาบมานิควอกัน ประเทศแคนาดา,

ทะเลสาบลากูน่า โคโลราโด (Laguna Colorada) หรือเป็นที่รู้จักในอีกชื่อคือ Red Lagoon
อันดับ 6 , ทะเลสาบโคโลราโด ในโบลิเวีย


อันดับ 7 ทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟ เอรีบัสในทวีปแอนตาร์กติกา, 

ทะเลสาบแห่งหัวใจหญิงสาวที่โด่งดังไปทั่วโลกโซเซียลนี้ เป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิล (Middle Island) ในออสเตรเลีย แต่เนื่องจากน้ำในทะเลสาบมีสีชมพูคล้ายนมเย็น ทำให้ถูกคนท้องถิ่นเรียกว่า “หัวใจหญิงสาว”
อันดับ 8 ทะเลสาบฮิลเลียร์ ในออสเตรเลีย
ส่วนทะเลสาบ เดด ซี ในจอร์แดน ซึ่งชาวโลกรู้จักกันดีอยู่ในอันดับ 15
15อันดับทะเลสาบแปลก

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน