Custom Search

ประชากรผึ้งจำนวนมากในสหรัฐ หายสาบสูญไปอย่างหาสาเหตุไม่ได้

นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพิจารณาปรากฏการณ์ที่ประชากรผึ้งในสหรัฐมีจำนวนลดลงอย่างมาก กล่าวว่า การพัฒนาต่างๆ มีส่วนในปรากฏการณ์นี้ด้วย นักวิทยาศาสตร์ชี้แจงต่อรัฐสภา สหรัฐเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจำนวนของผึ้งที่ลดลงไปนั้นกำลังมีผลคุกคามการผลิต อาหารของสหรัฐที่ต้องอาศัยการทำงาน ของผึ้งในการผสมละอองเกสรดอกไม้ เพื่อให้พืชออกผล

ประชากรผึ้งในสหรัฐเริ่มลดจำนวนลงตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว คุณ Caird Rexroad เจ้าหน้าที่ กระทรวงเกษตรสหรัฐกล่าวว่า บรรดาคนเลี้ยงผึ้งทั่วสหรัฐเริ่มรายงานว่าผึ้งสูญหายไปราว 30-90 เปอร์เซนต์โดยที่ไม่สามารถอธิบายได้

คุณ Caird Rexroad บอกว่าจะสังเกตเห็นได้ว่า ถ้าเดินเท้าเปล่าผ่านดงต้นโคลเวอร์ ก็จะไม่ ถูกผึ้งต่อยอีกต่อไป แม้ว่าการโดนผึ้งต่อยจะไม่ใช่เรื่องดี แต่การที่ได้ทราบว่าผึ้งเหล่านั้นสูญหายไป ยิ่งแย่กว่ากันหลายเท่า คุณ Caird ชี้แจงต่อคณะกรรมการด้านการเกษตรของสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐว่า การที่ผึ้งมีจำนวนลดลงกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเกษตรของสหรัฐ ที่ต้องอาศัย ผึ้งในการผสมเกสรดอกไม้ให้พืชออกผล ความเสียหายนั้นคิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลล่าห์. ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้หนักเป็นพิเศษคือ ผู้ปลูกอัลมอนด์, ถั่ว, เบอรี่, ผลไม้ และผักต่างๆ ค่ะ.
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐผู้นี้กล่าวต่อไปอีกว่า จำนวนผึ้งที่ลดลงอย่างทันทีทันใดโดยหา สาเหตุไม่ได้นี้ กำลังส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมที่อาศัยผึ้งในการผสมเกสร การผลิตน้ำผึ้ง และการ ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารของประเทศอย่างน้อย 30 เปอร์เซนต์ นอกจากนั้น แมลงและเชื้อโรค ต่างๆ ของผึ้งที่เพิ่มขึ้นในระยะไม่กี่สิบปีมานี้ ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผึ้งถึงจุดวิกฤติ

คุณ Caird Rexroad และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ไม่สามารถอธิบายถึงจำนวนผึ้งที่ลดลง อย่างกระ ทันหันเช่นนี้. แต่สงสัยกันว่าสาเหตุหลักคาดว่าจะเป็นเพราะเห็บ verroa ซึ่งเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่ รุกรานเข้ามาในสหรัฐเมื่อช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 การศึกษาวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐ พบว่า เห็บนั้นฆ่าผึ้ง

โดยกินเป็นอาหาร แพร่เชื้อไวรัส, และสามารถต้านทานยาฆ่าแมลงหลายชนิด ได้นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่น่าจะเป็นไปได้อีกเช่น ยาฆ่าแมลง และสารพิษในสิ่งแวดล้อม อื่นๆ การย้ายถิ่นฐาน หรือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของผึ้งอ่อนแอลง ตลอดจนไวรัส และแบคทีเรียชนิด ต่างๆ ก็อาจมีส่วนทำให้ผึ้งสาบสูญไปด้วย

นักวิทยาศาสตร์จากรัฐต่างๆ กำลังร่วมกันศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับผึ้ง ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง และละออง เกสรดอกไมจากอาณาจักรผึ้งมากกว่า 100 อาณาจักรทั่วสหรัฐเพื่อหาสาเหตุของการที่ผึ้งหายไป นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม สหรัฐจำเป็นต้องมีผึ้งพันธุ์ใหม่ที่มี ความต้านทานโรค และผลกระทบจากพยาธิ์ต่างๆ มากขึ้นเพื่อเอาชนะปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และ การพัฒนาผึ้งพันธุ์ใหม่อาจมีความสำคัญต่อการเลี้ยงผึ้งในอนาคตค่ะ
Diana Cox-Foster ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผึ้งที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สมาชิกคนหนึ่งในคณะนักวิทยา ศาสตร์คณะนี้ กล่าวว่า ปัญหานี้กำลังขยายตัว และเป็นเรื่องระดับโลก และกำลังเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นปัญหาใหญ่
สหรัฐไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่ผึ้งสูญหายไป นักวิจัยแจ้งต่อรัฐสภาสหรัฐว่า แคนาดา และหลายๆ ส่วนในยุโรปก็กำลังประสบปัญหาผึ้งตายโดยอธิบายไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบว่า จะเป็นปรากฏ การณ์ธรรมชาติเดียวกันหรือไม่

หมอ รพ.อู่ฮั่นเผยถูก ตร.สั่งปิดปากหลังออกมาเตือนเรื่องไวรัสระบาด

หมอ รพ.อู่ฮั่นเผยถูก ตร.สั่งปิดปากหลังออกมาเตือนเรื่องไวรัสระบาด
ภาพนพ.ลีโพสต์ภาพของตัวเองขณะนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. หนึ่งวันก่อนที่เขาจะได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุใหม่ ต้นเดือนม.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่เจ้าหน้าที่ในนครอู่ฮั่นพยายามปิดข่าวเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แพทย์หนุ่มคนหนึ่งพยายามส่งข้อความเตือนเพื่อนหมอถึงเรื่องนี้ แต่กลับถูกตำรวจบุกมาพบและสั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี

หนึ่งเดือนหลังจากนั้นแพทย์คนนี้ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดในสื่อสังคมออนไลน์เวยโป๋ (weibo) พร้อมกับแจ้งว่าเขาเพิ่งได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
"สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อลี เวนเลียง จักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลกลางอูฮั่น" 

เขากล่าวทักทายก่อนจะเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่พบผู้ติดเชื้อ ช่วงเดือน ธ.ค.2562 นพ.ลีทราบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส 7 รายเข้ามารักษาและกักกันโรคอยู่ที่โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ผู้ป่วยทั้งหมดน่าจะติดเชื้อมาจากตลาดขายอาหารทะเลในนครอู่ฮั่น เชื้อไวรัสชนิดนี้มีลักษณะคล้ายเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์สที่ระบาดในปี 2546

👉นักท่องเที่ยวจีนกับไวรัสโคโรนาในไทย วันที่ 30 ธ.ค. เขาส่งข้อความเข้ากลุ่มสนทนาออนไลน์ที่มีสมาชิกเป็นแพทย์ เพื่อเตือนให้เพื่อน ๆ ใส่อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้รัดกุมเพราะเป็นไปได้ว่ากำลังมีการระบาดของเชื้อไวรัส ตอนนั้นหมอลีไม่รู้ว่าไวรัสชนิดนั้นคือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

สี่วันต่อมา มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเดินทางมาพบเขาและให้เขาเซ็นชื่อในเอกสารฉบับหนึ่ง เอกสารนั้นกล่าวหาว่าเขา "เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ" และ "ก่อกวนความสงบ" "เราขอเตือนคุณอย่างจริงจัง : ถ้าคุณยังดื้อรั้น ประพฤติตัวไม่เหมาะสมและยังกระทำการผิดกฎหมายเช่นนี้ต่อไป คุณจะถูกดำเนินคดี เข้าใจไหม" ด้านล่างของเอกสารนั้นมีข้อความที่หมอลีเขียนด้วยลายมือ "ผมเข้าใจแล้วครับ" หมอลีเป็นหนึ่งใน 8 คนที่ถูกตำรวจตักเตือนและสอบสวนฐาน "ปล่อยข่าวลือ"
ภาพเอกสารที่ตำรวจให้ นพ.ลีเซ็นชื่อมีข้อความว่า
"เราหวังว่าคุณจะสงบสติอารมณ์ลงและทบทวนความประพฤติของตัวเอง"

หมอลีเผยแพร่เอกสารฉบับนี้ในแอปพลิเคชันเว่ยโป๋เมื่อปลายเดือน ม.ค. พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้าหน้าที่
ท้องถิ่นมาขอโทษเขา แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว

ช่วงสองสามสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. เจ้าหน้าที่ในนครอู่ฮั่นยืนยันว่าคนที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีเพียงคนที่สัมผัสกับสัตว์ป่าที่มีเชื้อเท่านั้น และไม่มีการออกคำเตือนหรือแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการติดเชื้อแต่อย่างใด ช่วงนั้นเองที่หมอลีต้องรักษาอาการต้อหินของผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเธอติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

หมอลีบอกว่าเขาเริ่มมีอาการไอเมื่อวันที่ 10 ม.ค. จากนั้นก็มีไข้และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในอีก 2 วันต่อมา พ่อและแม่ของเขาก็ป่วยและต้องเข้าโรงพยาบาลเช่นกัน
ภาพนพ.ลี เวนเลียง ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ
ไม่นานหลังจากนั้นคือวันที่ 20 ม.ค. ทางการจีนถึงจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หมอลีเปิดเผยว่าเขาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาหลายครั้ง ทุกครั้งให้ผลเป็นลบ จนกระทั่งวันที่ 30 ม.ค. เขาโพสต์ข้อความว่า "วันนี้ผลการตรวจกรดนิวคลีอิกออกมาเป็นบวก มันจบแล้ว ในที่สุดก็ติดเชื้อ"

หลังจากโพสต์นี้เผยแพร่ออกไป มีคนส่งข้อความมาให้กำลังใจและแสดงความเห็นจำนวนมาก บางส่วนยกย่องว่าเขาเป็นวีรบุรุษ

👉"คุณคือฮีโร่" ผู้ใช้งานคนหนึ่งเขียนพร้อมกับแสดงความกังวลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น "ต่อไปนี้คงไม่มีหมอคนไหนกล้าออกมาเตือนถ้าพบสัญญาณการเกิดโรคระบาดร้ายแรง" "เราต้องการคนอย่างหมอลีอีก 10 ล้านคน ประชาชนถึงจะปลอดภัย"
นักท่องเที่ยวจีนกับไวรัสโคโรนาในไทย วันที่ 30 ธ.ค. เขาส่งข้อความเข้ากลุ่มสนทนาออนไลน์ที่มีสมาชิกเป็นแพทย์ เพื่อเตือนให้เพื่อน ๆ ใส่อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้รัดกุมเพราะเป็นไปได้ว่ากำลังมีการระบาดของเชื้อไวรัส

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 1 ราย แพร่เชื้อต่อให้คนรอบข้างได้อีก 2-3 รายโดยเฉลี่ย


จำนวนผู้ติดเชื้อในเมืองอู่ฮั่นอาจพุ่งสูงถึง 190,000 คน ภายในวันที่ 4 ก.พ. นี้
ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เอ็มอาร์ซีเพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์โรคติดเชื้อทั่วโลก (MRC GIDA) และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ของสหราชอาณาจักร เผยผลการศึกษาล่าสุด

ซึ่งชี้ถึงอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า ผู้ติดเชื้อ 1 ราย สามารถจะแพร่เชื้อต่อให้คนรอบข้างได้อีก 2-3 รายโดยเฉลี่ย หากอัตราการแพร่ระบาดเป็นไปตามที่คำนวณไว้ดังกล่าว ทีมผู้วิจัยของมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในเมืองอู่ฮั่นของจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นตอการระบาด อาจพุ่งสูงถึง 190,000 คน ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์
หรือภายในอีก 10 วันข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ความพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดเป็นไปได้ยากขึ้น
ศาสตราจารย์นีล เฟอร์กูสัน หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ MRC GIDA

ซึ่งเป็นสถาบันใต้สังกัดของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (ICL) ผู้ให้คำแนะนำด้านโรคติดเชื้อแก่รัฐบาลอังกฤษและองค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่า
"เรายังไม่อาจแน่ใจได้ว่า จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดให้จำกัดวงอยู่แต่ในประเทศจีนได้หรือไม่ เพราะการคำนวณจากข้อมูลล่าสุดด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์ชี้ว่า จะต้องหยุดยั้งการติดต่อของเชื้อให้ได้ถึง 60% ของกรณีที่พบทั้งหมด จึงจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับดีขึ้นได้
ภาพก่อนการค้นพบไวรัส 2019nCoV มีไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์อยู่แล้ว 6 สายพันธุ์
ล่าสุดสำนักข่าวซีซีทีวีของทางการจีน รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มเป็น 56 คน ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีน (นับถึง 25 ม.ค.) อยู่ที่ 1,975 คน ทำให้ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้มีติดเชื้อแล้วกว่า 2,000 คน

รายงานของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ยังระบุว่า "หากอัตราการแพร่ระบาดที่เราคาดการณ์ไว้ถูกต้อง จะเกิดการแพร่ระบาดระดับเดียวกับที่เมืองอู่ฮั่นในเมืองอื่น ๆ ของจีนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะยิ่งทำให้กรณีที่โรคติดต่อไปยังต่างประเทศพบได้บ่อยครั้งขึ้น"

ดร.ไรนา แม็กอินไทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางชีวภาพ (Biosecurity) จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียบอกว่า "ทุกวันนี้เรายังขาดข้อมูลความรู้ในเรื่องปัจจัยเสี่ยง, ลักษณะของการติดต่อ, ระยะเวลาในการฟักตัวของเชื้อ, รวมทั้งความรู้ทางระบาดวิทยาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ไม่อาจจะตัดสินใจได้ว่า ควรใช้มาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดแบบใด จึงจะเหมาะสมและได้ผลมากที่สุด"

ทีมนักผจญเพลิงออสเตรเลีย สามารถรักษาต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยล้านปีให้รอดพ้นจากไฟป่าครั้งใหญ่ได้สำเร็จ ขณะที่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในวันศุกร์ ช่วยผ่อนคลายวิกฤตไฟป่าไปได้ แต่ต้องกลายเป็นการช่วยเหลือโคอาลาจากน้ำท่วมฉับพลันแทน
อุทยานสัตว์ป่าออสเตรเลีย ที่เป็นเส้นทางไฟป่าใหญ่ในออสเตรเลีย เผชิญกับน้ำท่วมฉับพลัน เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ ทีมกู้ภยต้องเข้าช่วยเหลือโคอาลาที่อุทยานจำนวนมากให้รอดพ้นจากน้ำท่วมฉับพลันได้อย่างปลอดภัย
 อย่างไรก็ตาม นี่เป็นฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและช่วยคลี่คลายวิกฤตไฟป่าที่โหมกระหน่ำจากสภาพอากาศแล้งและอากาศร้อนจัดในออสเตรเลีย ซึ่งหัวหน้าอุทยาน ทิม ฟอล์คเนอร์ กล่าวว่าถือเป็นเรื่องที่ดี หลังจากที่สัปดาห์ก่อน ทีมเจ้าหน้าที่อุทยานต้องเตรียมแผนกันวันต่อวันในการรับมือกับไฟป่าในพื้นที่

แต่วันนี้ทีมงานก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่าในอุทยานให้ปลอดภัยจากน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งถือเป็นน้ำท่วมรุนแรงที่อุทยานครั้งแรกๆ ในรอบกว่า 15 ปีไฟป่าออสเตรเลีย ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายนปีก่อน คร่าชีวิตโคอาลาอย่างน้อย 28 ตัว และประมาณการณ์สัตว์ป่าที่ล้มตายจากไฟป่ามากกว่าพันล้านตัว ที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกและทางตอนใต้ของออสเตรเลีย
 อีกด้านหนึ่ง ทีมนักผจญเพลิงยืนยันความสำเร็จในการรักษาต้นสนพันธุ์โบราณ Wollemi pine ยุคก่อนไดโนเสาร์ให้รอดพ้นจากไฟป่าบริเวณ Blue Mountains ทางตะวันตกของนครซิดนีย์เอาไว้ได้

นายแมตต์ คีน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและสิ่งแวดล้อมแห่งนิวเซาธ์เวลส์ บอกว่า ต้นสนโบราณสายพันธุ์นี้คาดว่าจะมีอายุประมาณ 200 ล้านปี และหาไม่ได้จากที่ไหนในโลกอีกแล้ว เพราะเหลืออยู่เพียง 200 ต้นบนโลก
แต่สามารถพบต้นสนสายพันธุ์เก่าแก่นี้ได้ที่อุทยานแห่งชาติ Wollemi ใก้ลกับนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย ซึ่งทางการไม่เปิดเผยตำแหน่งของต้นสนพันธุ์นี้ต่อสาธารณชนเพื่อการอนุรักษ์

เผยโฉมผู้ประท้วงหน้าโรงแรมที่พักนายกฯ 'ไม่ใช่คนไทย-พูดไทยไม่ได้' บางคนมาจากอเมริกาใต้ แต่ชูป้ายเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย


กลุ่มผู้ประท้วงที่ถือป้ายเรียกร้องประชาธิปไตยไทย และโจมตีรัฐบาล รวมตัวกันอีกครั้งเป็นวันที่ 2 ที่บริเวณหน้าโรงแรมที่พักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมประชุมใหญ่ สมัชชาองค์การสหประชาชาติ ครั้งที่ 74 ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

 กลุ่มผู้ประท้วงถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ที่อยู่ในบริเวณที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำหนด แต่ละกลุ่มมีจำนวนราวๆ 10 คนถือป้ายประท้วงในภาษาอังกฤษ เนื้อหาต่อต้านการรัฐประหาร เรียกร้องการเลือกตั้่งที่เป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ และขอให้สหประชาชาติช่วยประชาธิปไตยในไทย เป็นต้น 

ผู้สื่อข่าววีโอเอไทย เดินเข้าไปซักถามวัตถุประสงค์ของกลุ่มผู้ประท้วงที่ถือป้าย ในภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 

แต่ไม่มีใครพูดภาษาไทยได้ โดยสนทนาตอบเป็นภาษาอังกฤษจากชายผิวขาวในกลุ่มที่ถือโทรศัพท์ถ่ายรูปตลอดเวลาว่า ไม่ต้องการให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลใดๆ โดยผู้ประท้วงบางคนพยายามยกป้ายปิดบังใบหน้า เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามบันทึกภาพ

 แต่เมื่อเดินไปถามกลุ่มผู้ถือป้าย ว่ามาจากที่ไหน มีบางคนตอบว่ามาจาก เปอร์โตริโก ส่วนนอกเหนือจากนั้นไม่ยอมตอบคำถามใด ส่วนชายผิวดำอีกคนที่มากับกลุ่มผู้ประท้วง และใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพการชุมนุมตลอดเวลา เปิดเผยชื่อว่า เบอร์นาร์ด ลูคัส บอกว่า เหตุที่มีมารวมตัวเพราะต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยเพราะต่อต้านการรัฐประหาร และยอมรับว่าคนที่มาประท้วงไม่ใช่คนไทย 

แต่ประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อผู้คนทุกคนทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา และเมื่อถูกถามว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่ติดป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ไม่ไกลจากอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ใช่หรือไม่? ชายผู้นี้ตอบว่า "ใช่"

ผู้สื่อข่าววีโอเอ ถามด้วยว่า มีการจ่ายเงินเพื่อให้มาประท้วงหรือไม่ นายเบอร์นาร์ด บอกว่า ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ นอกจากนี้ยังสังเกตว่ามีชายชาวผิวขาวอีก 2 คน ที่คอยสั่งการกลุ่มคนถือป้าย และบันทึกภาพเกือบตลอดเวลา

การปรากฎตัวของกลุ่มที่ประท้วงบริเวณสถานที่พัก ทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของทางการสหรัฐฯที่ถูกส่งมาอารักขาคณะของนายกรัฐมนตรีไทยต้องเพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษ และขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ NYPD ของนครนิวยอร์ก มาประจำการเพิ่ม ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีของไทยเข้าหรือออกจากที่พัก โดยในภาพรวมการประท้วงเป็นไปด้วยความสงบ ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน