Custom Search

เตือนภัยพืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ ทานไม่ได้ บอนโหรา หรือกระดาดดำ

ค้นหา
พืชตระกูลบอนมีชนิดที่ทานได้ 
คือ คูน และ พืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ คือ กระดาดดำ 

และด้วยความที่พืชทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นพืช ตะกูลเดียวกัน ฉะนั้น จึงมีลักษณะ ลำต้น และใบ ที่คล้ายคลึงกันมาก ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิด และนำไปประกอบอาหาร
พืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ

พืชตระกูลบอนที่ทานได้ : คูน
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Colocasia gigantea Hook.f

ภาษาท้องถิ่น :
ภาคใต้ เรียก โชน ออดิบ ออกดิบ
ภาคกลาง เรียก คูน
ภาคเหนือ เรียก กระดาดขาว 
หรือตูน
ภาคอีสานบางพื้นที่ เรียก ทูน
ลักษณะ :
ใบสีเขียวอ่อน ขนาดเล็ก และบาง
ก้านใบสีขาวนวล
ลำต้นสีเขียวอ่อน มีแป้งเคลือบ
ก้านใบห่างริมขอบใบ
ก้านใบต้อคูน ปอกเปลือกนำมาทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำไปแกงกะทิ ในภาคใต้นิยมนำไปทำแกงส้ม
พืชตระกูลบอนที่ทานไม่ได้ : กระดาดดำ
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Alocasia macrorhiza Schott

ภาษาท้องถิ่น :
ภาคใต้ เรียก โหรา หรือเอาะลาย
ภาคกลาง เรียก กระดาดดำ
ภาคเหนือ เรียก บึมปื้อ

ลักษณะ :
ใบมีสีเขียวเข้ม ขนาดใหญ่ และหนา
ก้านใบสีเข้ม
ลำต้นสีเขียวเข้ม
ก้านใบติดริมขอบใบ
* พิษ : พบส่วนมากในส่วนน้ำยางใส บริเวณลำต้น และใบ
อาการของพิษ :
หากสัมผัสจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง เป็นผื่นคัน บวมแดง
หากรับประทาน จะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ลิ้นแข็ง พูดไม่ได้ คันปาก คันคอ บางรายอาจมีอาการหายใจไม่ออก และเสี่ยงถึงชีวิตได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น :
หากสัมผัส ให้ล้างด้วยน้ำสบู่หลายๆ ครั้ง แล้วนำส่งโรงพยาบาล
หากรับประทานให้ล้างปาก และดื่มนมเพื่อลดอาการระคายเคือง และรีบนำส่งโรงพยาบาล
อย่าพยายามทำให้อาเจียน เพราะจะยิ่งทำให้แย่ลง เนื่องจากพิษจะสัมผัสเยื่อบุที่คอ และปากอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โหรา พืชริมรั้ว ภัยใกล้ตัว , พืชมีพิษ ฤทธิ์อันตราย และ ต้นอ้อดิบ (ต้นคูน) พืชตระกูลบอน

Korowai people ชนเผ่าโบราณ ผู้สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 35 เมตร




ค้นหา
Korowai people ผู้สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 35 เมตร

ท่ามกลางป่าลึกที่เข้าถึงได้ยากนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดปาปัว ทางตะวันออกเฉียงใต้ประเทศอินโดนีเซีย ลึกเข้าไปประมาณ 150 กิโลเมตรจากทะเลอาราฟูรา คือบ้านของชนเผ่าโบราณที่มีชื่อว่า Korowai

พวกเขาอาศัยกันอยู่ในสังคมเล็กๆ ที่ต่างจากชีวิตประชาชนส่วนอื่นของโลก พวกเขาดำรงชีวิตโดยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ จนกระทั่งในปี 1974 มิชชันนารีชาวดัตช์ได้มีการค้นพบพวกเขา โดยที่พวกเขาแทบจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอกเลย

ชาว Korowai นั้นอาศัยอยู่บนบ้านสร้างขึ้นบนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 6 – 12 เมตร แต่บางหลังอาจสูงถึง 35 เมตร จากพื้นดิน ความสูงของบ้านที่อยู่บนต้นไม้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากบรรดาแมลงและยุง และป้องกันภัยจากชนเผ่าอื่น รวมถึงมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันจากการรังควานของวิญญาณชั่วร้ายได้

บ้านที่พวกเขาจะสร้างได้นั้นต้องมีการคัดเลือกต้นไม้แข็งแรงพอที่จะทำเป็นเสาหลักของบ้านได้ ต้นไม้ส่วนบนจะตัดออกไป สร้างหลังคาใหม่จากใบไม้ ใช้หวายในการมัดกิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน พื้นเป็นส่วนที่ต้องมีความแข็งแรงมากสำหรับบ้านไม้นี้  แล้วก็สร้างบันไดพาดลงมาสู่ด้านล่าง บันได้จะสั่นเมื่อมีคนปีนเป็นสัญญาณเตือนภัยได้หากมีใครจะขึ้นมาบนบ้าน 

ชาว Korowai เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม พวกเขามีทักษะทางการประมง ที่สามารถออกล่าอาหารที่จำเป็นมาบริโภคเพื่อไม่ให้ขาดแคลน  ในช่วง ต้นทศวรรษ 1990 บางคนก็หันมาหารายได้จากการร่วมมือกับบริษัททัวร์ที่มาสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวใน Korowai 

ปัจจุบันนี้มีรายการสารคดีหลายรายการเข้ามาถ่ายทำชีวิตความ
เป็นอยู่ของชาว Korowai ภาพปก George Steinmetz..

โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง



ทีมวิจัยของสถาบันความยั่งยืนโลก พัฒนาโมเดลจำลองทางวิทยาศาสตร์ โดยโมเดลนี้ชี้ให้เห็นว่า โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง 

ทีมวิจัยของสถาบันความยั่งยืนโลก จากสถาบันแองเกลีย รัสคิน พัฒนาโมเดลจำลองทางวิทยาศาสตร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ โดยโมเดลนี้ชี้ให้เห็นว่า โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง หากรัฐบาลต่างๆยังไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายและพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน

ทั้งนี้ โมเดลนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสังคมที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย มีเพียงการจำลองให้เห็นถึงผลร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ว่าหากเรายังคงใช้ชีวิตของเราในปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจไปอย่างปกติ จะทำให้กระบวนการผลิตอาหารล้มเหลวทั้งหมด และจะทำให้ไม่สามารถปลูกพืชได้อย่างถาวร 

ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง น้ำ การโลกาภิวัฒน์ และความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอกล่าวว่า ปีนี้ มีประชากรโลกมากกว่าร้อยละ 5 ใน 79 ประเทศที่ขาดแคลนอาหาร 
โดยไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ยังมีคนขาดแคลนอาหาร แต่ยังอยู่ระดับต่ำ เอฟเอโอกล่าวว่า ในปี 2050 ต้องมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปริมาณปัจจุบัน จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของทั้งโลกได้
ค้นหา

ฟอสซิลหมูนรกอายุประมาณ 34 ล้านปี จากจังหวัดกระบี่


ค้นหา
เอนเทโลดอนต์ (Entelodont) คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกีบคู่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มันมีลักษณะคล้ายหมู กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร และมีความยาวกว่า 3 เมตร ด้วยหน้าตาที่ดุร้าย มันจึงมีฉายาที่ถูกตั้งโดยหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า 
"หมูนรก" (Hell pig) หรือ "หมูคนเหล็ก" (Terminator pig) ฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ในช่วงระหว่างสมัยอีโอซีนถึงโอลิโกซีน(หรือเมื่อประมาณ 45 ถึง 25 ล้านปีก่อน)


ล่าสุดนี้ทีมนักบรรพชีวินวิทยาฝรั่งเศส-ไทยได้เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลฟันกรามน้อย 2 ซี่ที่ค้นพบจากเหมืองถ่านหิน จังหวัดกระบี่เป็นครั้งแรก จากลักษณะของฟันที่พบนั้นมีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ "Entelodon gobiensis" ที่เคยมีการค้นพบมาก่อนหน้าจากทางตอนเหนือของทวีปเอเชียและทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยฟอสซิลของเอนเทโลดอนต์ที่ค้นพบในจังหวัดกระบี่นี้มีอายุประมาณ 34 ล้านปี หรือสมัยอีโอซีนตอนปลาย

การค้นพบนี้ถือเป็นหลักฐานการปรากฏของเอนเทโลดอนต์ครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นรายงานการค้นพบฟอสซิลของพวกมันที่มีการกระจายตัวมาทางใต้สุดของทวีปเอเชียในช่วงเวลาขณะนั้น


ปล. ภาพที่ปรากฏเป็นเพียงภาพประกอบของเอนเทโลดอนต์ที่ค้นพบในอเมริกาเหนือ

น่าทึ่งวัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ อายุ 1200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ เพียงก้อนหินก้อนเดียว


🙄น่าทึ่ง วัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ 
อายุ 1,200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ 
เพียงก้อนหินก้อนเดียว

ค้นหา
วัดเขาไกรลาส โบราณสถานฮินดูที่เก่าแก่ มีอายุถึง 1,200 ปี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งในโลก วัดเขาไกรลาส ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฎระ ประเทศอินเดีย วัดแห่งนี้สร้างจากก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ยักษ์เพียงแค่ก้อนเดียว เมื่อหลายร้อยปีก่อนการก่อสร้างหรือการสลักไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยแน่นอน และก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนนี้ถูกสลักด้วยมือ จนกลายเป็นวัดที่มีการสลักอย่างประณีตสวยงาม 

สถาปัตยกรรมแบบนี้เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบชาวดราวิเดียน ชนเผ่าเก่าแก่ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในแถบประเทศอินเดีย

วัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ อายุ 1,200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ เพียงก้อนหินก้อนเดียว


วัดแห่งนี้่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโบราณอารังกาบาด 29 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานเก่าแก่ที่ประกอบไปด้วยวัดฮินดู 34 แห่งในเขตของถ้ำ Ellora สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาหิมาลัย เมื่อมองมาจากเทือกเขาหิมาลัยก็จะเห็นเขาไรลาส


ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า ย้อนไปเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 8 จักรวรรดิราษฏรกูฏ เป็นราชวงศ์ที่ทรงอำนาจในทางตอนใต้ของอินเดีย พระเจ้ากฤษณะที่ 1 แห่งราชวงศ์ราษฏรกูฏรับสั่งสร้างวัดเพื่ออุทิศให้กับพระศิวะ ที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี

🏛การสร้างที่เชื่อว่าต้องแกะสลักหินจากบนลงล่าง เพราะหินจะยึดกับเขา ขุดเจาะลงไปตามลักษณะของภาพมุมสูง ซึ่งมีโครงสร้างตามผังนี้


รอบๆ วัดถูกแกะสลักพร้อมเล่าตำนานความเชื่อของชาวฮินดูไว้อย่างชัดเจน และเมื่อสร้างเพื่ออุทิศให้พระศิวะ เรื่องราวของพระศิวะก็ถูกจารึกบนหินแกะสลัก จึงมีรูปปั้น โคนนทิ โคเผือกที่เป็นยานพาหนะของพระองค์

ในความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า บางส่วนของพื้นที่ก็ยังเล่าเรื่องราวของพระวิษณุหรือรู้จักกันอีกพระนามหนึ่งว่า พระนารายณ์นั่นเอง
ด้วยแรงศรัทธาของชาวฮินดูพิสูจน์ด้วยสถาปัตยกรรมที่ต้องใช้ความประณีตความอดทนสร้างวัดแห่งนี้เป็นเวลา 20 ปี จนสำเร็จ กลายเป็นโบราณสถานที่ให้คนรุ่นหลังระทึกถึง และความศรัทธาก็ยังคงอยู่ ไม่จางหายไปจากโลกนี้

ยลโฉม หัวจื้อปิง นักศึกษาเสมือนจริงจากระบบ AI คนแรกของจีน


ยลโฉม ‘หัวจื้อปิง’ นักศึกษาเสมือนจริงจากระบบ AI คนแรกของจีน

ค้นหา
(แฟ้มภาพซินหัว : หัวจื้อปิง นักศึกษาเสมือนจริงคนแรกของจีน พัฒนาโดยอู้เต้า 2.0 ระบบจำลองปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำของจีน)
หัวจื้อปิง” หญิงสาวชาวจีน โพสต์ข้อความแรกบนเวยโป๋ แพลตฟอร์มคล้ายทวิตเตอร์ของจีน เพื่อประกาศการลงทะเบียนเรียนภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยชิงหัว เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ทว่า “หัวจื้อปิง” มิใช่หญิงสาววัยรุ่นวัยเรียนทั่วไป เพราะเธอคือ “นักศึกษาเสมือนจริงที่กำเนิดจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขนานใหญ่” คนแรกของจีน

“ฉันหลงใหลในวรรณกรรมและศิลปะอย่างมากตั้งแต่ ‘เกิด’ มา” ข้อความของหัวบนเวยโป๋ โดยรูปร่างหน้าตา เสียง เพลงประกอบบัญชีผู้ใช้งาน และภาพวาดของหัว ล้วนถูกพัฒนาโดย “อู้เต้า 2.0” (Wudao 2.0) ระบบสร้างแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในการประชุมสถาบันปัญญาประดิษฐ์ปักกิ่ง (BAAI) ปี 2021 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.

ถังเจี๋ย รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการของสถาบันฯ และศาสตราจารย์ภาควิชาข้างต้น หนึ่งในผู้พัฒนาหลัก กล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ใช้ตัวแปร 1.75 ล้านล้านรายการ เพื่อจำลองบทสนทนา เขียนบทกวี และเข้าใจความหมายของภาพ ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้านี้ของสวิตช์ ทราส์ฟอร์เมอร์ (Switch Transformer) จากกูเกิล (Google) ที่ใช้ตัวแปร 1.6 ล้านล้านรายการ

“อู้เต้า 2.0 ถือเป็นระบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ขนาดล้านล้านรายการระบบแรกของจีนและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย” ถังกล่าว

ถังกล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ปฏิบัติภารกิจ 9 อย่างสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในสนามจำลองก่อนการฝึก และเกือบเอาชนะการทดสอบทัวริง (Turing test) ในการสร้างบทกวีและบทกลอน สรุปข้อความ ตอบคำถาม และวาดภาพ ซึ่งหากคอมพิวเตอร์สามารถทำให้มนุษย์จำนวนมากพอเชื่อว่ามันไม่ใช่คอมพิวเตอร์ได้ นั่นถือว่าสอบผ่าน

สถาบันฯ เปิดตัวอู้เต้า 1.0 (Wudao 1.0) ระบบจำลองอัจฉริยะขนานใหญ่พัฒนาขึ้นเองในประเทศระบบแรกของจีน เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ส่วนการวิจัยและพัฒนาอู้เต้า 2.0 มีนักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์เข้าร่วมมากกว่า 100 คน ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมและสถาบันวิชาการปัญญาประดิษฐ์ของจีน

อัลกอริธึมพื้นฐานของอู้เต้า 2.0 ฝึกระบบจำลองบนแพลตฟอร์มซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศ โดยถังกล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ถูกพัฒนาเพื่อทำให้เครื่องจักรคิดได้เหมือนมนุษย์ มุ่งสู่ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นสากล และช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบนิเวศการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ได้ ซึ่งนักวิจัยและผู้ประกอบการสามารถสมัครใช้ระบบนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ถังกล่าวว่าหัวจื้อปิงเป็นผลผลิตของอู้เต้า 2.0 โดยหัวถูกฝึกฝนโดยสถาบันฯ ร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอย่างจื้อผู่ดอตเอไอ (Zhipu.AI) และ เสี่ยวไอซ์ (Xiaoice)

“ฉันเริ่มสนใจการเกิดของตนเองว่าฉันเกิดมาได้อย่างไรและฉันสามารถเข้าใจตัวเองได้ไหม” ข้อความของหัวบนเวยโป๋ พร้อมบอกว่าเธอจะเรียนภายใต้การอบรมสั่งสอนของถังและกำลังแข่งกับเวลาเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเองทุกวันในหลายด้าน เช่น ศักยภาพการให้เหตุผลเชิงตรรกะ

ถังกล่าวว่านักศึกษาเสมือนจริงรายนี้จะเติบโตและเรียนรู้ได้เร็วกว่านักศึกษาที่เป็นมนุษย์ทั่วไป หากหัวเริ่มเรียนที่ระดับเด็ก 6 ขวบในปีนี้ เธอจะเรียนจนถึงระดับเด็ก 12 ขวบในอีก 1 ปีข้างหน้า

ถังทิ้งท้ายว่าขณะนี้หัวจื้อปิงยังไม่สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ได้เหมือนนักศึกษาทั่วไป รวมถึงยังไม่มีปัญหาทางอารมณ์ โดยหวังว่าเธอจะเรียนรู้ทักษะเหล่านั้นจนเชี่ยวชาญก่อน จากนั้นจึงเรียนรู้การให้เหตุผลและปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์เป็นลำดับถัดไป

การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 : การทลายเรือนจำเพื่อหมุดหมายของเสรีภาพและเท่าเทียม


พวกเขาไม่ได้กระด้างกระเดื่องหรือกำเริบ แต่นี่คือการปฏิวัติ
ค้นหา

หากพูดถึงต้นแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย คนส่วนใหญ่จะนึกถึงอังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แต่หนึ่งในประเทศที่มีการเดินทางของ


ประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลานมาอย่างยาวนาน ก็คือประเทศฝรั่งเศส ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายยุคหลายสมัยจนกว่าจะได้ระบบที่มีเสถียรภาพทางการเมือง 


เรื่องราวของจุดเริ่มต้น ‘ประชาธิปไตยสไตล์ฝรั่งเศส’ จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน 8 นาทีต่อไปนี้

  

การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 : การทลายเรือนจำเพื่อหมุดหมายของเสรีภาพและเท่าเทียม

พวกเขาไม่ได้กระด้างกระเดื่องหรือกำเริบ แต่นี่คือการปฏิวัติ
 ทุกวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี นับตั้งแต่ปี 1789 ฝรั่งเศสจะเรียกวันนี้ว่าวันบัสตีย์ (Bastille Day) หรือวันชาติฝรั่งเศส เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองของประเทศ จากการบุกไปยังเรือนจำบัสตีย์ที่เป็นสัญลักษณ์การกดขี่ของระบอบกษัตริย์ฝรั่งเศส ทำลายอาคารกับป้อมปราการจนราบ เพื่อแสดงให้เห็นอำนาจของประชาชนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การทำตามใจชอบของชนชั้นปกครอง

เหตุการณ์การพังคุกบัสตีย์ที่ถูกกล่าวขานจนถึงปัจจุบัน เกิดขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การปกครองของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ช่วงเวลานั้นถือเป็นเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจสืบเนื่องจากรัชกาลก่อน ประเทศเป็นหนี้มหาศาลจากการเข้าร่วมสงครามบนผืนแผ่นดินอเมริกา และระบบทุนนิยมที่เริ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อท้องพระคลังถังแตก รัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สั่งเก็บภาษีจากประชาชนสูงขึ้น ทั้งที่ชาวบ้านแทบไม่มีจะกิน ขนมปังที่เป็นอาหารหลักราคาสูงจนน่าใจหาย พืชผลเก็บเกี่ยวน้อยลงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ส่งให้สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนโดยรวมย่ำแย่กว่าที่เคยเป็นมา

ปารีสอันสวยงามเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ประชาชนโกรธแค้นกับความเป็นอยู่แร้นแค้นไม่รู้จะไปลงกับใคร บางคนบุกปล้นจับเจ้าของร้านขนมปังมาแขวนคอ เพราะคิดว่าพวกเขากักตุนแป้งสาลี ภาษีก็เก็บแพงขึ้น ปัญญาชนที่ไม่มีบรรดาศักดิ์เรียกร้องให้รัฐบาลของกษัตริย์แก้ปัญหาปากท้อง เมื่อมีเสียงวิจารณ์เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกดดัน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงต้องเปิดประชุมสภาฐานันดรที่ไม่ได้จัดมาเป็นร้อยปีเพื่อหารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

การประชุมสภาฐานันดร ประกอบด้วยนักบวชหรือพระที่เป็นฐานันดรที่ 1 ฐานันดรที่ 2 คือเหล่าขุนนาง และฐานันดรที่ 3 เป็นสามัญชนหรือชนชั้นกระฎุมพี อย่างไรก็ตาม การประชุมไม่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น เนื่องจากการโหวตมติหรือนโยบายใด ๆ ถูกโหวตตามฐานันดรไม่ใช่รายบุคคล ถึงแม้ที่ประชุมมีสมาชิกฐานันดรที่ 3 เยอะสุด แต่นับเป็น 1 โหวตอยู่ดี พวกเขาไม่มีวันชนะเพราะฐานันดร 1 กับ 2 คิดไปในทางเดียวกัน

เหตุผลที่ชนชั้นสูงคิดเหมือนกันเป็นเพราะฐานันดรที่ 1 และ 2 ได้รับการงดเว้นหลายอย่าง โดยเฉพาะการไม่ต้องเสียภาษี พวกเขาไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเพราะชีวิตสงบสุขอยู่แล้ว ต่างจากฐานันดรที่ 3 ที่ต้องแบกค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับแนวคิดยุคปรัชญาแสงสว่างที่เข้ามายังฝรั่งเศสมากขึ้นเรื่อย ๆ แนวคิดที่ว่าคนทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้สร้างความรู้สึกไม่ยุติธรรมแก่สามัญชน

ตัวแทนจากฐานันดรที่ 3 เริ่มเอาใจออกหากรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำงานหนักเลี้ยงพวกเจ้า พระ และขุนนางที่ไม่ต้องจ่ายภาษี เหล่านักกฎหมาย ปัญญาชน นักเขียน จึงพากันไปจัดตั้งสภาของตัวเองแทนชื่อ ‘สมัชชาแห่งชาติ’ หรือ ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ ที่สาบานร่วมกันในสนามเทนนิสว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นให้ได้ เพื่อเปลี่ยนระบอบการเมืองการปกครองเสียใหม่

ความคิดของชาวฝรั่งเศสแตกออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ ๆ ฝ่ายหนึ่งคือคนที่เห็นชอบกับการปกครองเดิม เป็นกลุ่มขุนนางอนุรักษนิยมมองว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่จำเป็นต้องถูกโค่นล้ม ระบอบกษัตริย์จะปกครองฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ่ต่อไปได้ กับอีกกลุ่มที่ต้องการการเมืองแนวใหม่ ต้องการร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการพร้อมกับกษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อเกิดความขัดแย้งทางความคิด ผู้มีอำนาจสั่งทหารให้จัดการชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวาย เวลาเดียวกันนายทหารบางคนถูกจับขังคุกเพราะปฏิเสธคำสั่งยิงใส่ฝูงชน

จุดแตกหักครั้งสำคัญพาไปสู่การปฏิวัติการเมืองการปกครองฝรั่งเศสส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกกองทหารผู้จงรักภักดีที่อยู่ต่างเมืองและต่างประเทศกลับมาประจำการยังปารีส ควบคู่กับพระราชโองการปลด ฌาค แนแกร์ (Jacques Necker) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในวันที่ 12 กรกฎาคม 1789 ด้วยพระองค์มองว่าชายคนนี้เห็นอกเห็นใจชาวบ้านมากเกินไป การกระทำของกษัตริย์สร้างความหวาดระแวงแก่ประชาชน ผู้คนเลยพากันออกมาเดินประท้วงทั่วปารีส

จากการเดินประท้วงของผู้ชุมนุมไร้อาวุธเริ่มพัฒนาสู่ความรุนแรงมากขึ้น เกิดการปะทะกันของกองทัพกับฝูงชน ประชาชนที่โกรธแค้นการใช้อำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมเริ่มบุกเข้าสถานที่ราชการ อาทิ การทำลายข้าวของสำนักงานศุลกากร เพราะมองว่าศุลกากรทำงานบกพร่องจนสินค้าในประเทศมีราคาสูงจนแทบซื้อไม่ไหว

นอกจากนี้ เหล่าสมาชิกราชวงศ์ที่ลงมาคุมกองทัพทหารเกิดความหวาดระแวง กลัวว่าพลทหารเข้าร่วมกับฝ่ายประชาชน จึงโยกย้ายทหารจากหน่วยหนึ่งไปอีกหน่วยเป็นว่าเล่น ก่อให้เกิดความสับสนและสร้างความไม่มั่นใจให้กับเหล่าทหารใต้บังคับบัญชา

หลังฝรั่งเศสเกิดความวุ่นวายต่อเนื่องหลายวัน เช้าวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ประชาชนราวหนึ่งพันคนวางแผนบุกเข้าไปยังคุกบัสตีย์เพื่อชิงปืนคาบศิลา ปืนใหญ่ และดินปืน ที่ถูกเก็บไว้จำนวนมากมาใช้ในการปฏิวัติ ประกอบกับคุกแห่งนี้ถูกสร้างมาเป็นเวลานาน เป็นสัญลักษณ์จำไม่ลืมจากการใช้อำนาจตามใจตัวเองของกษัตริย์และเหล่าชั้นสูง

เกิดการยิงใส่กันบริเวณทางเข้าเรือนจำ เหตุการณ์ชุลมุนในพื้นที่เรือนจำเริ่มตั้งแต่เช้ายาวถึงช่วงเย็น ฝ่ายทหารเฝ้าเรือนจำตัดสินใจยอมจำนน เพราะไม่อยากให้การต่อสู้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ยอมเปิดประตูให้ชาวฝรั่งเศสกรูเข้าไปยังคุกบัสตีย์ ชาวบ้านที่โกรธแค้นตัดหัวผู้ดูแลคุกแห่รอบปารีส ปลดเปลื้องอดีตอันขื่นขมด้วยการทุบกำแพง ถอนอิฐออกทีละก้อน บางคนนำอิฐของเรือนจำไปขาย เพราะอิฐก้อนนี้คือสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ที่กษัตริย์ฝรั่งเศสพึงกระทำต่อคนใต้ปกครอง

การบุกทลายคุกบัสตีย์วันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ไม่ได้มีใจความสำคัญว่าจะปลดปล่อยคนในคุก เพราะตอนนั้นมีนักโทษเพียงไม่กี่คน นอกจากเรื่องดินปืนคือสัญลักษณ์บ่งบอกว่าชาวฝรั่งเศสไม่ต้องการเห็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปกครองอีกต่อไป และรู้สึกอดสูกับการปกครองที่ไม่สนใจปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชน

เหตุการณ์บุกเรือนจำสร้างความหวาดวิตกแก่กลุ่มขุนนางและราชวงศ์ ควบคู่กับปลดปล่อยกระแสการปฏิวัติให้กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน จนท้ายที่สุดหลังจากความวุ่นวายจบลง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้

สมัชชาแห่งชาติได้ประกาศว่า ทุกคนต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ ยกเลิกสิทธิพิเศษของกลุ่มฐานันดรต่าง ๆ ยกเลิกการยกเว้นภาษีพระ จากนั้นประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองจนเกิดวลี “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” อันลือลั่นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1789

ร่างรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกแห่งฝรั่งเศสเสร็จสมบูรณ์ในปี 1791 รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากการปฏิวัติอเมริกา ที่สามารถปลดแอกออกจากอังกฤษและร่างรัฐธรรมนูญ ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการเมืองการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติปี 1789 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางอันยาวนานของการเมืองฝรั่งเศส เราจะเห็นพัฒนาการของพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ช่วงเวลาหนึ่งฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคการปกครองด้วยความหวาดกลัว เพราะรัฐบาลสั่งตัดหัวคนด้วยกิโยตินเป็นว่าเล่น แล้วถัดมาเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ แต่อยู่ได้ไม่นานก้าวสู่การปกครองแบบจักรวรรดิโดยนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ


หลังความพ่ายแพ้ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ฝรั่งเศสกลับมาสู่ยุคฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ แต่ถูกประชาชนล้มเจ้าอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนระบอบเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาเกิดรัฐประหารพาประเทศกลับมาเป็นจักรวรรดิอีกครั้ง ทว่าถูกโค่นอีกรอบเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่า 231 ปี ที่ฝรั่งเศสมีระบบการปกครองและรัฐธรรมนูญมากกว่า 17 ครั้ง จนสุดท้ายได้ระบอบสาธารณรัฐที่มีเสถียรภาพมากพอและใช้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

แม้มีความวุ่นวายหลายยุคหลายสมัย อย่างน้อยประชาชนชาวฝรั่งเศสก็ได้ลองและได้เลือกระบอบการเมืองการปกครองด้วยตัวเอง พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น ร่วมกันเลือก ร่วมกันโต้แย้งต่อสู้ทางความคิด แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการเมืองก้าวหน้า ทำให้ฝรั่งเศสถือเป็นเมืองต้นแบบ เป็นกรณีศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองให้กับอีกหลายประเทศบนโลก

โพยโกงสอบอายุกว่า 600 ปี ที่ใช้โกงสอบเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยราชวงศ์หมิง


แปลกแต่จริง‼️
ค้นหา
ภาพที่เห็นคือโพยโกงสอบอายุกว่า 600 ปี ที่ใช้โกงสอบเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยราชวงศ์หมิง มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือแต่บรรจุเนื้อหาถึง 430,000 คำ - แสดงว่าโพยลอกข้อสอบมีมานานมว๊ากกก
นักสะสมหนังสือโบราณในเมืองฉังซา มณฑลหูหนัน ได้นำ “สมุดโพย” สำหรับโกงข้อสอบเพื่อแข่งขันเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยยุคราชวงศ์หมิง ออกแสดงสู่สายตาชาวโลก

รายงานระบุว่า หนังสือดังกล่าวมีขนาดใหญ่ไม่ถึงฝ่ามือ ภายในมีการคัดลอกเนื้อหา “หนังสือสี่เล่มและห้าวัฒนธรรมดั้งเดิม” (Four Books and Five Classics) ซึ่งเป็นคำสอนคลาสสิกของลัทธิขงจื้อที่ว่ากันว่ามีตัวหนังสือจีนรวมแล้วมากกว่า 430,000 ตัว และผู้เข้าทำการสอบถูกคาดหวังว่าจะต้องท่องจำให้ได้
เจ้าของหนังสือโบราณขนาดจิ๋วระบุว่า วิธีการดังกล่าวถูกนำมาใช้ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งผู้เข้าสอบจะเข้าไปในลานสอบ โดยแอบซ่อนสมุดโพยไว้ในรองเท้าเพื่อหลบการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ประจำสนามสอบ 
ที่มา : 99Online

เปิดเรื่องราว ชายข้ามเวลาผู้ตื่นมาในปี 2027 ที่ไม่มีมนุษย์สักคน เรื่องจริงหรือไม?


เปิดเรื่องราว ‘ชายข้ามเวลา’ ผู้ตื่นมาในปี 2027 ที่ไม่มีมนุษย์สักคน เรื่องจริงหรือแหกตา?

ค้นหา ปัจจุบันมีเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้อีกมากมายบนโลกโซเชียล เช่นเดียวกับเรื่องราวของ ‘ชายข้ามเวลา‘ ที่กำลังกลายเป็นไวรัลดังบนโลกโซเชียลอยู่ในตอนนี้
หากใครที่เป็นสายโซเชียลก็คงจะเห็นคลิปของเขาคนนี้ผ่านหูผ่านตามาแล้วบ้างจากบัญชี TikTok ที่มีชื่อว่า @unicosobreviviente เป็นภาษาสเปนที่แปลว่า The Soul Survivor (ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว)

และอีกหนึ่งชื่อคือ Javier โดยชายคนนี้ออกมาอ้างว่าเขาได้ข้ามเวลาไปยังปี 2027 ค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนก็คงจะไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ แต่เอาจริงๆ ก็มีคนที่คล้อยตามชายคนนี้อยู่มากมายเช่นกัน วันนี้  เลยอยากจะมาเปิดเรื่องราวของเขาคนนี้กันครับ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2021 ที่ Javier ได้ออกมาโพสต์คลิปแรกของตนบน TikTok เป็นคลิปที่เขาเผยว่าตนเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยที่ตัวเขาจำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ หรือเรื่องราวต่างๆ ของตัวเอง

จากนั้นไม่นานเขาก็เดินออกสำรวจพื้นที่รอบๆ แต่กลับไม่พบเจอใคร สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2027


หากพูดแค่ปากเปล่าก็คงไม่มีใครเชื่อ Javier จึงอัดคลิปรอบๆ ตัวของตนเองว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ หลังจากที่คลิปเผยแพร่ออกไปก็มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและรับชมเป็นจำนวนมาก ทำให้คลิปแรกของเขามีผู้เข้าชมมากกว่า 9 ล้านครั้งเลยทีเดียว

แน่นอนค่ะว่าหลายคนมองว่าเรื่องราวที่ Javier กล่าวเป็นเรื่องแหกตา อย่างแรกเลยคือทำไมถึงตัวเขาที่อยู่ในปี 2027 ถึงลงคลิป TikTok แล้วย้อนมาให้คนในปี 2021 ชมได้ล่ะ?

ซึ่งตัว Javier เองก็พยายามพิสูจน์ว่าตัวเองพูดความจริงด้วยการไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผู้คนคอมเมนต์มา (ส่วนมากอยู่ในประเทศสเปน) พร้อมอัดคลิปให้ทุกคนรับชม และสิ่งนี้แหละค่ะที่ทำให้หลายคนเริ่มคล้อยตาม

เพราะแต่ละคลิปที่ Javier ลงไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอยู่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปที่เขาออกไปถ่ายในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ที่โดยปกติแล้วจะมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอด
นอกจากนี้ Javier ยังไปสถานที่ต่างๆ ที่หลายคนคิดว่าต้องมีคนอยู่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สนามบิน ร้านอาหาร ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทุกที่ล้วนไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีคลิปที่เข้าไปนั่งในโชว์รูมรถหรู เอารถหรูออกมาขับ รวมถึงเข้าไปนั่งในรถตำรวจและรถดับเพลิงอีกด้วย

Javier ยังถ่ายภาพเวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และถาม Google Home ว่าปีนี้เป็นปีอะไร ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดก็แสดงตรงกันว่าเป็นปี 2027

ยังไม่หมดค่ะ Javier ได้ทำการเอาเข็มกลัดไปวางยังสถานที่ต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาสามารถเชื่อมกับผู้คนในปี 2021 ได้ และก็มีคนที่ติดตามเขาสามารถหาเข็มกลัดนั้นพบจริงๆ

สิ่งที่ Javier ทำและพิสูจน์สร้างความประหลาดใจให้กับชาวเน็ตเป็นอย่างมาก ซึ่งบางส่วนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง บางส่วนก็คิดว่าเขาน่าจะหลุดไปอยู่ในมิติคู่ขนานมากกว่า เพราะเป็นไปไม่ได้ที่แต่ละสถานที่ที่เขาเข้าไปจะปลอดคนมากขนาดนั้น

ในขณะที่อีกหลายคนก็มองว่าเป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอนเทนต์เท่านั้น เพราะ Javier เองไม่เคยออกมาไลฟ์ ถ่ายคลิปยาวๆ หรือเปิดเผยหน้าตาให้ผู้ติดตามเห็นสักที

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนที่ชื่นชอบและติดตามเขาเป็นจำนวนมากถึง 3.1 ล้านคน บน TikTok เลยล่ะ

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ Javier ชายผู้ข้ามเวลา
แล้วทุกคนล่ะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? 
ไม่รู้ว่าอีก6ปีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นไม่อาจจะคาดการณ์
ไอ้หง.. ไอ้หอย..ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตติดหรู อยู่ดี กินอร่อยหรือไมในขณะนั้น...

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน