Custom Search

ชะตากรรมของชาวชุมชนคลองเตยท่ามกลางการระบาดของโควิด-19

"ตอนนี้ป้าน่าจะตายเพราะไม่มีอะไรจะกินมากกว่าตายจากไวรัส" เสียงบ่นจากแม่ค้าขายของทอดคนหนึ่งในชุมชนคลองเตยหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "สลัมคลองเตย" 
ค้นหา
Custom Search
สะท้อนถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อคนหาเช้ากินค่ำ ชุมชนคลองเตยมีผู้คนอาศัยอยู่กว่า 20,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย พวกเขาเหล่านี้ไม่เพียงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงโรคระบาด แต่ยังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพราะอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด อีกทั้งความยากจนทำให้ไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์มาป้องกันตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัยหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใครต่อใครไปกว้านซื้อมาใช้กัน บีบีซีไทยพูดคุยกับชาวชุมชนคลองเตยบางส่วนว่า พวกเขามีความเป็นอยู่และดูแลตัวเองอย่างไรในภาวะโรคระบาดเช่นนี้ 
😩อยู่ได้ด้วยอาหารบริจาค
นางพันทิรา สุทธิ อายุ 51 ปี ประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าขายของทอด บริเวณล็อก 1-2-3 และหน้าโรงเรียนในชุมชนคลองเตย ก่อนหน้าจะเกิดการระบาดของโควิด-19 เธอขายของได้ประมาณวันละ 1,000 บาท แต่ด้วยความยากจนที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นหนี้นอกระบบประกอบกับการป่วยเป็นมะเร็งมากว่า 5 ปี เธอจึงหมดเงินไปกับการใช้หนี้และการรักษาตัว ส่วนที่เหลือก็ใช้ดูแลหลานชายวัย 9 ขวบ จนไม่เหลือเงินเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเช่นในตอนนี้ "นักเรียนก็ไม่มี คนก็ไม่ออกจากบ้าน ป้าอยากจะออกไปขายของแทบตายแต่ตอนนี้ เงินประทังชีวิตยังมีไม่พอเลยจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อไก่กับลูกชิ้นมาทอดขาย" พันทิราเล่าสถานการณ์ 
พันทิรา สุทธิ ต้องอาศัยอาหารบริจาคเพื่อประทังชีวิต

เพราะขาดรายได้จากการขายของในช่วงนี้ รายได้ที่หายไปในช่วงนี้ พันทิราและสมาชิกในครอบครัวของเธอมีเพียงอาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและข้าวสารที่เพื่อนบ้านแบ่งปันให้ ถ้าได้ข่าวว่าที่ไหนแจกอาหาร ครอบครัวของเธอก็จะพากันไปต่อคิวรับของบริจาค "เงินไม่มี โรคก็กลัว ปกติอยู่บ้านจะไม่ใส่หน้ากากอนามัย แต่ถ้าไปโรงพยาบาลก็ต้องซื้อจากร้านธงฟ้าประชารัฐในชุมชน แม้จะราคาแค่ 10 บาท แต่ก็ถือว่าเป็นเงินเยอะสำหรับป้า เจลแอลกอฮอล์ก็แพง ไม่มีปัญญาซื้อหรอก อาศัยล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ เอา" 

👉"อยากให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือคนจนอย่างจริงใจ อย่ามัวแต่พูด พวกเราจะอดตายกันอยู่แล้ว เวลาคนจนบอกว่าไม่มีเงิน ก็คือไม่มีจริง ๆ ตอนนี้ป้าเครียดมาก ๆ อยากให้สถานการณ์นี้ผ่านพ้นไปไว ๆ" เสี่ยงสูงแต่ไม่มีทางเลือก นางทองเรือง ทองเผือน อายุ 56 ปี ทำอาชีพรับจ้างทั่วไปร่วมกับสามี บอกว่าแม้ว่าชุมชนที่เธออยู่คือบริเวณล็อก 4-5-6 จะยังไม่มีผู้ติดเชื้อ แต่การที่เธอต้องออกจากบ้านไปทำงานข้างนอกทุกวัน ทำให้เธอและสามีเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอาจจะนำเชื้อนั้นเข้ามาแพร่ในชุมชนก็เป็นได้ 
ทองเรือง ทองเผือน อาศัยอยู่ในชุมชนคลองเตยด้วยความเสี่ยงทั้งจากเชื้อไวรัส และการขาดรายได้จุนเจือครอบครัว

ด้วยความที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยออกไปทำงานทุกวัน ทองเรืองเลือกซื้อหน้ากากผ้าที่คนในชุมชนทำขายผืนละ 15 บาทมาใช้ ทุกวันพอกลับถึงบ้านเธอก็จะซักตากให้แห้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ซึ่งช่วยประหยัดได้มาก นอกจากหน้ากากผ้าแล้ว ทองเรืองและสามีก็ไม่มีอุปกรณ์อย่างอื่นที่จะใช้ป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัส เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะไปซื้อแอลกอฮอล์หรือเจลล้างมือ แม้แต่สบู่ก้อนเธอก็ยังต้องใช้อย่างประหยัด

"คนจนอย่างเรามันไม่มีทางเลือกมากหรอก ถ้าไม่ออกไปหางานทำก็อดตาย ถ้าออกไปแล้วติดเชื้อก็ตายอยู่ดี จริง ๆ ก็กลัวแต่ทำอะไรไม่ได้ เรามีลูกเล็กต้องเลี้ยงอีก 3 คน ถึงจะเสี่ยงแต่ก็ต้องทำ" 
👉ทองเรืองกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ "ตอนนี้ก็ไม่มีใครจ้างงานแล้ว พวกเราไม่มีรายได้เลย แถมเจ้าหนี้ก็เข้ามาทวงไม่หยุดหย่อน อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูชีวิตของคนในชุมชนและช่วยเหลือเรา พวกเราจะไม่ไหวกันอยู่แล้ว"

ในอีกมุมหนึ่งของชุมชนแออัดแห่งคลองเตย ที่บริเวณชุมชน 70 ไร่ น.ส.ลัดดา มั่งมีผล อายุ 26 ปี เพิ่งจบการศึกษาและเริ่มงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งบอกว่าเมื่อระบบการป้องกันโรคระบาดของทั้งชุมชนไม่ดี ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีความเสี่ยงติดเชื้อพอ ๆ กัน

สภาพแออัดของชุมชนทำให้การแพร่กระจายของโรคเป็นไปได้ง่าย "ลุง ๆ ป้า ๆ ของหนูและชาวบ้านอีกหลายคนในชุมชนนี้เป็นกรรมกรทำงานที่ท่าเรือ เมื่อไม่มีเรือสินค้าเข้ามาเทียบท่า พวกเขาก็ไม่มีรายได้และทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา ตอนนี้หนูก็ถูกให้หยุดงานอยู่ก็เลยมาช่วยกันเย็บหน้ากากอนามัยขาย และช่วยหาเจลแอลกอฮอล์มาแจก" ลัดดากล่าว 

"ตอนนี้เพิ่งได้ยินมาว่ามีคนในชุมชนติดเชื้อ พวกเราก็ยิ่งกลัว เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนมีเงินซื้อหน้ากากอนามัย และพวกเราอยู่อาศัยกันอย่างแออัดมาก"

👉ชุมชนเปราะบาง สลัมคลองเตยเป็นชุมชนแออัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีผู้อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้กว่า 20,000 คน บนพื้นที่ 133 ไร่ ด้วยความหนาแน่นและความยากจนของประชากร ทำให้บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางสูงต่อการเกิดโรคระบาด วาสนา สนิทหมื่นไวย หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ มูลนิธิดวงประทีป เป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือคนในชุมชนคลองเตยในรูปแบบสถานรับเลี้ยงเด็กภาคกลางวัน และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

ชุมชนนี้เป็นที่พักอาศัยของเด็ก คนวัยทำงาน คนชรา และผู้ป่วยติดเตียงกว่า 20,000 คน 

"ช่วงนี้คนในชุมชนมีความตื่นตัวเรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสกันมาก ตอนนี้ทางเราจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้คนในชุมชนโดยจะไม่อนุญาตให้คนนอกพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในชุมชนเพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะเอาโรคจากข้างนอกมาติดคนข้างในหรือเปล่า" วาสนาอธิบาย

👉"ปกติเราจะมีผู้บริจาคชาวญี่ปุ่นและยุโรปเข้ามาเยี่ยมชุมชน แต่เราของดทุกกิจกรรมไปก่อน เพราะในชุมชนมีทั้งเด็กเล็ก คนชรา และผู้ป่วยติดเตียงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่ามีคนติดเชื้อขึ้นมาคนหนึ่ง คนทั้งชุมชนอาจจะติดกันหมด"
"ชุมชนนี้มีความเปราะบางมากทั้งในเรื่องของพื้นที่และประชากร เพราะฉะนั้นเราจึงร่วมมือกันรณรงค์ให้คนในชุมชนเข้าถึงวิธีการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อให้ได้ดีและทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้" เจ้าหน้าที่มูลนิธิดวงประทีปกล่าว  

แจ็ค หม่า ควักเงินเกือบ 5 พันล้าน ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ และพัฒนาวัคซีนเพื่อช่วยชีวิตคนทั้งโลก


(จ่าย 450 ล้านบาท ให้พัฒนาวัคซีนจ่ายอีก 4,500 ล้านบาท ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับจีน) “แจ็ค หม่า” เจ้าของอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีน ให้การสนับสนุนเงิน 1,100 ล้านหยวน เพื่อจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ และให้นำไปพัฒนาวัคซีนรับมือไวรัสโคโรน่า ที่กำลังระบาดหนักในจีนและทั่วโลกขณะนี้

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ‘Alibaba’ และอภิมหาเศรษฐีชาวจีน ตัดสินใจทุ่มเงินบริจาคเป็นจำนวนกว่า 100 ล้านหยวน หรือประมาณ 450 ล้านบาทผ่าน Jack Ma Foundation เพื่อเป็นเงินทุนให้นักวิทยาศาสตร์นำไปพัฒนาและวิจัยวัคซีนรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่โดยเฉพาะ

โดยเงินบริจาคในสัดส่วน 40% หรือราว 40 ล้านหยวนจะถูกนำไปมอบให้กับหน่วยงานสองแห่ง ได้แก่ สถาบันวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences) และสถาบันวิศวกรรมจีน (Chinese Academy of Engineering) ที่เหลือจะถูกนำไปจัดสรรเพื่อมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันที่เกี่ยวข้องทั่วโลกเพื่อเป้าหมายการพัฒนายารักษา
โรคร ะบาดดังกล่าว

ขณะที่จากการเปิดเผยของ แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโ ร คภูมิแพ้และโ ร คติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (US National Institutes of Allergy and Infectious Diseases) ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าวัคซีนรักษาไวรัสโคโรนาที่พวกเขากำลังเร่งพัฒนาขึ้นมานั้นอาจจะใช้ระยะเวลา 3 เดือนหรือน้อยกว่านั้นในการทดสอบช่วงเฟสแรก

ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Alibaba ได้ประกาศไว้ว่า จะสนับสนุนเงินทุนกว่า 1 พันล้านหยวน (ราวๆ 4.5 พันล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และยารักษาโ ร คสำหรับแจกจ่ายในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่


รวมถึงการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 
(AI Computing) กับองค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้งานด้านการคิดค้นวัคซีนรักษาโรคและวิธีการรักษาโรคดังกล่าว ซึ่งนอกจาก แจ็ค หม่า และ Alibaba แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่เอกชนในจีนอย่าง Huawei, Tencent, Baidu หรือ ByteDance (TikTok) ก็ยังได้บริจาคเงินทุนช่วยเหลือให้กับทางการจีนเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่เช่นกัน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯแนะนำ ไม่ต้องซื้อหน้ากากป้องกันโควิด–19

U.S. Surgeon General, Vice Admiral Jerome Adams, flanked by Health and Human Services Secretary Alex Azar, briefs the media on the release of a warning against marijuana use by by adolescents and pregnant women, in Washington,  
👉นายเจอโรม อดัมส์ Surgeon General แห่งสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ชาวอเมริกันไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อปกป้องตัวเองจากเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด นายยอดัมส์กล่าวในรายการ 
“Fox & Friends” ทางช่องฟ็อกซ์ นิวส์ ว่า ชาวอเมริกันยังมีโอกาสติดเชื้อไวรัสต่ำ และยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการใส่หน้ากากจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้จริง 

นอกจากนี้ คนที่มีแนวโน้มออกไปซื้อหน้ากากก็มักไม่รู้วิธีการใส่หน้ากากที่ถูกต้อง และมักสัมผัสใบหน้าของตนเองบ่อยๆ .....
ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อไวรัสได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เขาแนะนำต่อว่า หากชาวอเมริกันต้องการป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสโควิด – 19 
👉พวกเขาควรล้างมือบ่อย ๆ ครั้งละ 15-20 วินาที ปิดปากด้วยแขนเวลาไอ ระมัดระวังตนเวลาเมื่อพบผู้คน อยู่กับบ้านหากไม่สบาย หรืออยู่ให้ห่างจากผู้ป่วย เขายังเชื่อด้วยว่า ชาวอเมริกันจะเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากกว่าเชื้อไวรัสโควิด – 19 โดยในแต่ละปี ชาวอเมริกันเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปีละ 18,000 คน เมื่อเทียบกับผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด – 19 ที่จนถึงตอนนี้มีทั้งสิ้น 6 คน นอกจากนี้ 
👉เขาก็ย้ำด้วยว่า อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ สามารถทุเลาลงได้ 
เมื่อผู้ป่วยพักผ่อนอยู่บ้านไม่กี่วัน 
ซึ่งผู้คนควรตระหนักรู้แต่ไม่ควร
ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ของไวรัสจนเกินควร 
A traveler wears a face mask to protect against the coronavirus, at Salgado Filho Airport in Porto Alegre, Brazil, 

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน