Custom Search

นักวิทยาศาสตร์สร้างปรากฏการณ์ทางควอนตัมที่ทำให้สสารล่องหนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก


ทีมนักฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์หรือเอ็มไอที (MIT) ของสหรัฐฯ ทำการทดลองทางควอนตัมที่ให้ผลเป็นภาวะโปร่งใสเกือบสมบูรณ์แบบของสสารได้สำเร็จเป็นครั้งแรก หลังมีการทำนายทางทฤษฎีในเรื่องนี้เอาไว้เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อน

หลักการทางกลศาสตร์ควอนตัมดังกล่าวระบุว่า หากทำให้กลุ่มหมอกของสสารในสถานะก๊าซเย็นจัดจนเข้าใกล้อุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์ (-273.15 องศาเซลเซียส ) รวมทั้งทำให้มันมีความหนาแน่นสูงพอ กลุ่มหมอกนั้นจะสะท้อนและกระเจิงแสงได้ลดลงเรื่อย ๆ จนผู้ทำการทดลองเห็นว่ามัน "ล่องหน" หายไปจากสายตาในที่สุด

ปรากฎการณ์ดังกล่าวเรียกว่า Pauli blocking หรือการยับยั้งการกระเจิงแสงของเพาลี ซึ่งเป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่นักฟิสิกส์ชาวออสเตรียชื่อเดียวกันได้ทำนายเอาไว้เมื่อปี 1925 โดยเขาระบุว่าการล่องหนของก๊าซสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่ออะตอมของก๊าซสูญเสียคุณสมบัติตามธรรมชาติในการกระเจิงแสงไป
สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการกีดกันของเพาลี (Pauli exclusion principle) ซึ่งชี้ว่าอนุภาคเฟอร์มิออนสองตัวที่เหมือนกัน ไม่อาจจะอยู่ในสถานะควอนตัมหรือระดับพลังงานเดียวกันได้ ทำให้อนุภาคเหล่านี้แยกกันเข้าครอบครองระดับพลังงานต่าง ๆ ภายในอะตอมจนเต็ม โดยอนุภาคที่อยู่ในระดับพลังงานสูงสุดและห่างจากนิวเคลียสมากที่สุด จะสามารถเคลื่อนไหวตอบสนองกับอนุภาคของแสงหรือโฟตอนที่เข้ามากระทบ จนเกิดการกระเจิงแสงขึ้น

อย่างไรก็ตาม อนุภาคในอะตอมของก๊าซที่เย็นจัดจนเข้าใกล้อุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์นั้น สามารถเข้าครอบครองได้แต่ระดับพลังงานที่ต่ำมาก ทำให้ไม่มีอนุภาคในระดับพลังงานที่สูงพอจะเคลื่อนไหวตอบสนองกับโฟตอนได้ โฟตอนจึงต้องเคลื่อนผ่านไปโดยไม่เกิดการกระเจิงแสง


อุปกรณ์ให้กำเนิดแสงเลเซอร์สีฟ้า ซึ่งใช้ตรวจสอบระดับความโปร่งใสของก๊าซในการทดลอง

รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ฉบับล่าสุด ระบุว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ของเอ็มไอทีได้ทดลองใช้เลเซอร์ ทำให้อะตอมของลิเทียมในสถานะก๊าซเคลื่อนไหวช้าลงจนมีอุณหภูมิลดต่ำเหลือเพียง 20 ไมโครเคลวิน ซึ่งถือว่าสูงกว่าอุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์เพียงเล็กน้อย

จากนั้นผู้ทำการทดลองได้ใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงอีกชุดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นคีมบีบอัดให้อะตอมของก๊าซลิเทียมอยู่ในพื้นที่แคบ จนมีความหนาแน่นถึง 1 ควอดริลเลียนอะตอม (เลข 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 15 ตัว) ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร

ผลปรากฏว่ากลุ่มหมอกของก๊าซลิเทียมในภาวะดังกล่าวดูโปร่งใสขึ้น โดยผลตรวจนับอนุภาคโฟตอนหรือแสงที่เกิดการกระเจิงผ่านกล้องความไวสูงยืนยันว่า มีโฟตอนชนิดนี้ลดน้อยลงในการทดลอง ส่งผลให้กลุ่มหมอกก๊าซลิเทียมมีการกระเจิงแสงลดต่ำลงถึง 38% เมื่อเทียบกับสสารแบบเดียวกันในอุณหภูมิห้อง

การทดลองนี้มีศักยภาพในการพัฒนาวัสดุที่ยับยั้งอนุภาคของแสง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ควอนตัมประสิทธิภาพสูงในอนาคต เนื่องจากการทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังข้างต้น จะป้องกันไม่ให้คอมพิวเตอร์สูญเสียข้อมูลควอนตัมไปกับโฟตอน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมในทุกวันนี้

นักโทษประหารที่อายุน้อยที่สุดของอเมริกา


นักโทษประหารที่อายุน้อยที่สุดของอเมริกา

เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว เด็กผู้หญิงผิวขาวสองคนวัย 8 ปี และ 14 ปี ถูกฆาตกรรม มีเด็กชายผิวดำวัย 14 ปี ถูกจับเป็นผู้ต้องสงสัย โดยไม่มีหลักฐานใดๆ ที่เกี่ยวพันกับเด็กชายคนนี้ ยกเว้นมีพยานเห็นว่าเด็กผู้หญิงสองคนได้คุยกับเด็กชายผิวดำคนนี้

หลังจากถูกสอบสวนโดยตำรวจผิวขาว โดยที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ร่วมตอนสืบสวนด้วย เด็กคนนี้ยอมรับสารภาพด้วยความกลัว แล้วถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า โดยศาลใช้เวลาในการพิจารณาเพียงสองสามชั่วโมง

นี่เป็นนักโทษประหารที่เด็กที่สุดของอเมริกาตั้งแต่เข้าศตวรรษที่ 20 ด้วยว่าตัวเล็กมาก (157 หนัก 40 กว่ากิโล) จนไม่สามารถขึงกับสายรัดขนาดปกติของผู้ใหญ่ได้ ผู้คุมต้องนำสายสองข้างมัดเข้าหากัน แล้วนำหนังสือเล่มหนาให้เด็กชายนั่งทับ

ตามบันทึก เมื่อถึงเวลาประหาร เพชรฆาตสับสวิตช์ปล่อยกระแสไฟขนาด 2400 โวลต์ สู่ร่างกายของเด็กคนนี้ ปรากฎว่า หน้ากากที่ปิดหน้าซึ่งขนาด
ไม่พอดี ก็เลื่อนหลุดออก เผยให้เห็นตาที่เบิกโพรง น้ำตานองหน้าด้วยความกลัวและน้ำลายที่ฟูมปาก ร่างกายที่กระตุกอย่างแรงจากกระแสไฟ ทำให้มือซ้ายหลุดออกจากสายรัด เหยียดเกร็ง เป็นเวลา 4 นาที เด็กคนนี้ถึงตายลง.....

ซึ่งในไม่กี่ปีที่ผ่านมาญาติของเด็กชาย Stinney ได้เรียกร้องให้นำคดีขึ้นพิจารณาคดีใหม่ และในที่สุดศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีในครั้งแรก การสอบสวนไม่เป็นไปอย่างยุติธรรม ด้วยสภาพจิตใจของเด็กทำให้ยอมรับผิดด้วยความกลัว แต่กระนั้น ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งสองก็ยังปฏิเสธที่จะยอมรับ

.....ผ่านไป 70 ปี ศาลประกาศว่า พ้นมลทินหลังจากตายไป 70 ปี.....

#นึกถึงหนังเรื่อง Green Mile เลย 😢
#อาจจะชวนหดหู่หน่อยแต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นค่ะ

ที่มา : What The Fat, Nationtv.22, 

น้ำบนโลกมาจากไหน.. นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบเพื่อไขปริศนาการก่อตัวของโลกและดวงจันทร์


ค้นหา
รายงานชิ้นใหม่ของนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Brown ในสหรัฐซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science เปิดเผยสมมติฐานใหม่ว่าจริงๆแล้วน้ำบนโลกและบนดวงจันทร์อาจมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งการไขปริศนาเรื่องนี้อาจนำไปสู่ทฤษฎีใหม่ๆเกี่ยวกับการก่อกำเนิดของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ

แรกเริ่มเดิมทีนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นจากดาวเคราะห์ขนาดประมาณดาวอังคารพุ่งชนโลกเมื่อราว 4,500 ล้านปีก่อน ทำให้เกิดชิ้นส่วนเล็กๆแตกออกมาแล้วหลอมละลายกลายเป็นดวงจันทร์โคจรอยู่รอบโลก ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เกิดความร้อนมหาศาลบนดวงจันทร์ที่เพิ่งเกิดใหม่ จนเผาไหม้สสารต่างๆหลอมละลายและก่อตัวเป็นน้ำขึ้นมาก่อนที่จะแห้งไป

แต่ภายใต้สมมติฐานใหม่ที่นักธรณีวิทยา Alberto Saal และเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัย Brown ใช้เวลาศึกษาราว 5 ปีและเพิ่งเปิดเผยในวารสาร Science เมื่อเร็วๆนี้ระบุว่า จากการใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ศึกษาตัวอย่างหินที่นักบินอวกาศของยานอพอลโล่เก็บมาจากดวงจันทร์เมื่อราว 40 ปีก่อน พบหลักฐานว่ามีส่วนประกอบของน้ำปรากฎอยู่ในหินภูเขาไฟจากดวงจันทร์

นักวิจัย Alberto Saal อธิบายว่าหลักฐานชิ้นแรกที่พบคือส่วนประกอบของน้ำในหินที่เชื่อว่ามาจากพื้นผิวชั้นในของดวงจันทร์ จึงเป็นไปได้ว่าผิวชั้นในของดวงจันทร์น่าจะเคยมีน้ำประกอบอยู่ โดยเมื่อ 2 ปีก่อนนักวิจัยกลุ่มนี้รายงานว่า ร่องรอยทางเคมีของน้ำที่พบในหินจากดวงจันทร์มีลักษณะคล้ายกับร่องรอยทางเคมีที่พบในหินที่มาจากผิวชั้นในของโลก จึงมีความเป็นไปได้ที่น้ำบนดวงจันทร์น่าจะมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันกับน้ำที่อยู่บนโลก คำถามสำคัญคือแหล่งกำเนิดน้ำคืออะไร และน้ำไปอยู่บนดวงจันทร์ได้อย่างไร

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า 98% ของน้ำที่อยู่บนพื้นโลกในช่วงที่โลกเพิ่งก่อตัวใหม่ๆนั้น มาจากอุกกาบาตที่มีน้ำแข็งเกาะติดอยู่ ซึ่งเป็นอุกกาบาตที่เกิดในช่วงการก่อกำเนิดของระบบสุริยจักรวาลและเชื่อว่าพุ่งชนโลกเมื่อราว 4,500 ล้านปีที่แล้ว รายงานชิ้นนี้จึงตั้งสมมติฐานว่าโลกอาจจะก่อกำเนิดและวิวัฒนาการมาโดยมีน้ำที่มาจากอุกกาบาตเป็นส่วนประกอบตั้งแต่ช่วงแรกๆ และน้ำนั้นยังติดไปกับชิ้นส่วนที่หลุดออกไปจากแรงกระแทกของอุกกาบาตก่อนที่จะหลอมละลายกลายเป็นดวงจันทร์ แต่สิ่งที่นักวิจัยยังหาคำตอบไม่ได้คือ ทำไมน้ำเหล่านั้นจึงไม่ระเหยไปในอวกาศแต่กลับติดไปกับดวงจันทร์

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brown ชิ้นนี้ช่วยอธิบายถึงการก่อกำเนิดของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆเช่น ดาวอังคารและดาวศุกร์ เพราะก่อนหน้านี้แทบไม่เคยมีการศึกษามาก่อนว่าอาจมีน้ำเป็นส่วนประกอบระหว่างการก่อตัวของดาวเคราะห์ต่างๆ จนกระทั่งพบน้ำในหินจากดวงจันทร์ ซึ่งทำให้นักวิจัยสรุปได้ว่า ดวงจันทร์ก็คือซากฟอสซิลที่บันทึกประวัติการก่อกำเนิดของโลกเอาไว้

เตือนภัยพืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ ทานไม่ได้ บอนโหรา หรือกระดาดดำ

ค้นหา
พืชตระกูลบอนมีชนิดที่ทานได้ 
คือ คูน และ พืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ คือ กระดาดดำ 

และด้วยความที่พืชทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นพืช ตะกูลเดียวกัน ฉะนั้น จึงมีลักษณะ ลำต้น และใบ ที่คล้ายคลึงกันมาก ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิด และนำไปประกอบอาหาร
พืชตระกูลบอนบางชนิดเป็นพิษ

พืชตระกูลบอนที่ทานได้ : คูน
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Colocasia gigantea Hook.f

ภาษาท้องถิ่น :
ภาคใต้ เรียก โชน ออดิบ ออกดิบ
ภาคกลาง เรียก คูน
ภาคเหนือ เรียก กระดาดขาว 
หรือตูน
ภาคอีสานบางพื้นที่ เรียก ทูน
ลักษณะ :
ใบสีเขียวอ่อน ขนาดเล็ก และบาง
ก้านใบสีขาวนวล
ลำต้นสีเขียวอ่อน มีแป้งเคลือบ
ก้านใบห่างริมขอบใบ
ก้านใบต้อคูน ปอกเปลือกนำมาทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำไปแกงกะทิ ในภาคใต้นิยมนำไปทำแกงส้ม
พืชตระกูลบอนที่ทานไม่ได้ : กระดาดดำ
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Alocasia macrorhiza Schott

ภาษาท้องถิ่น :
ภาคใต้ เรียก โหรา หรือเอาะลาย
ภาคกลาง เรียก กระดาดดำ
ภาคเหนือ เรียก บึมปื้อ

ลักษณะ :
ใบมีสีเขียวเข้ม ขนาดใหญ่ และหนา
ก้านใบสีเข้ม
ลำต้นสีเขียวเข้ม
ก้านใบติดริมขอบใบ
* พิษ : พบส่วนมากในส่วนน้ำยางใส บริเวณลำต้น และใบ
อาการของพิษ :
หากสัมผัสจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง เป็นผื่นคัน บวมแดง
หากรับประทาน จะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ลิ้นแข็ง พูดไม่ได้ คันปาก คันคอ บางรายอาจมีอาการหายใจไม่ออก และเสี่ยงถึงชีวิตได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น :
หากสัมผัส ให้ล้างด้วยน้ำสบู่หลายๆ ครั้ง แล้วนำส่งโรงพยาบาล
หากรับประทานให้ล้างปาก และดื่มนมเพื่อลดอาการระคายเคือง และรีบนำส่งโรงพยาบาล
อย่าพยายามทำให้อาเจียน เพราะจะยิ่งทำให้แย่ลง เนื่องจากพิษจะสัมผัสเยื่อบุที่คอ และปากอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โหรา พืชริมรั้ว ภัยใกล้ตัว , พืชมีพิษ ฤทธิ์อันตราย และ ต้นอ้อดิบ (ต้นคูน) พืชตระกูลบอน

Korowai people ชนเผ่าโบราณ ผู้สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 35 เมตร




ค้นหา
Korowai people ผู้สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 35 เมตร

ท่ามกลางป่าลึกที่เข้าถึงได้ยากนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดปาปัว ทางตะวันออกเฉียงใต้ประเทศอินโดนีเซีย ลึกเข้าไปประมาณ 150 กิโลเมตรจากทะเลอาราฟูรา คือบ้านของชนเผ่าโบราณที่มีชื่อว่า Korowai

พวกเขาอาศัยกันอยู่ในสังคมเล็กๆ ที่ต่างจากชีวิตประชาชนส่วนอื่นของโลก พวกเขาดำรงชีวิตโดยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ จนกระทั่งในปี 1974 มิชชันนารีชาวดัตช์ได้มีการค้นพบพวกเขา โดยที่พวกเขาแทบจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอกเลย

ชาว Korowai นั้นอาศัยอยู่บนบ้านสร้างขึ้นบนต้นไม้ที่มีความสูงถึง 6 – 12 เมตร แต่บางหลังอาจสูงถึง 35 เมตร จากพื้นดิน ความสูงของบ้านที่อยู่บนต้นไม้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากบรรดาแมลงและยุง และป้องกันภัยจากชนเผ่าอื่น รวมถึงมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันจากการรังควานของวิญญาณชั่วร้ายได้

บ้านที่พวกเขาจะสร้างได้นั้นต้องมีการคัดเลือกต้นไม้แข็งแรงพอที่จะทำเป็นเสาหลักของบ้านได้ ต้นไม้ส่วนบนจะตัดออกไป สร้างหลังคาใหม่จากใบไม้ ใช้หวายในการมัดกิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน พื้นเป็นส่วนที่ต้องมีความแข็งแรงมากสำหรับบ้านไม้นี้  แล้วก็สร้างบันไดพาดลงมาสู่ด้านล่าง บันได้จะสั่นเมื่อมีคนปีนเป็นสัญญาณเตือนภัยได้หากมีใครจะขึ้นมาบนบ้าน 

ชาว Korowai เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม พวกเขามีทักษะทางการประมง ที่สามารถออกล่าอาหารที่จำเป็นมาบริโภคเพื่อไม่ให้ขาดแคลน  ในช่วง ต้นทศวรรษ 1990 บางคนก็หันมาหารายได้จากการร่วมมือกับบริษัททัวร์ที่มาสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวใน Korowai 

ปัจจุบันนี้มีรายการสารคดีหลายรายการเข้ามาถ่ายทำชีวิตความ
เป็นอยู่ของชาว Korowai ภาพปก George Steinmetz..

โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง



ทีมวิจัยของสถาบันความยั่งยืนโลก พัฒนาโมเดลจำลองทางวิทยาศาสตร์ โดยโมเดลนี้ชี้ให้เห็นว่า โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง 

ทีมวิจัยของสถาบันความยั่งยืนโลก จากสถาบันแองเกลีย รัสคิน พัฒนาโมเดลจำลองทางวิทยาศาสตร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ โดยโมเดลนี้ชี้ให้เห็นว่า โลกอาจล่มสลายภายในปี 2040 จากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง หากรัฐบาลต่างๆยังไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายและพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน

ทั้งนี้ โมเดลนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสังคมที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย มีเพียงการจำลองให้เห็นถึงผลร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ว่าหากเรายังคงใช้ชีวิตของเราในปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจไปอย่างปกติ จะทำให้กระบวนการผลิตอาหารล้มเหลวทั้งหมด และจะทำให้ไม่สามารถปลูกพืชได้อย่างถาวร 

ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง น้ำ การโลกาภิวัฒน์ และความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอกล่าวว่า ปีนี้ มีประชากรโลกมากกว่าร้อยละ 5 ใน 79 ประเทศที่ขาดแคลนอาหาร 
โดยไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ยังมีคนขาดแคลนอาหาร แต่ยังอยู่ระดับต่ำ เอฟเอโอกล่าวว่า ในปี 2050 ต้องมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปริมาณปัจจุบัน จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของทั้งโลกได้
ค้นหา

ฟอสซิลหมูนรกอายุประมาณ 34 ล้านปี จากจังหวัดกระบี่


ค้นหา
เอนเทโลดอนต์ (Entelodont) คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกีบคู่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มันมีลักษณะคล้ายหมู กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร และมีความยาวกว่า 3 เมตร ด้วยหน้าตาที่ดุร้าย มันจึงมีฉายาที่ถูกตั้งโดยหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า 
"หมูนรก" (Hell pig) หรือ "หมูคนเหล็ก" (Terminator pig) ฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ในช่วงระหว่างสมัยอีโอซีนถึงโอลิโกซีน(หรือเมื่อประมาณ 45 ถึง 25 ล้านปีก่อน)


ล่าสุดนี้ทีมนักบรรพชีวินวิทยาฝรั่งเศส-ไทยได้เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลฟันกรามน้อย 2 ซี่ที่ค้นพบจากเหมืองถ่านหิน จังหวัดกระบี่เป็นครั้งแรก จากลักษณะของฟันที่พบนั้นมีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ "Entelodon gobiensis" ที่เคยมีการค้นพบมาก่อนหน้าจากทางตอนเหนือของทวีปเอเชียและทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยฟอสซิลของเอนเทโลดอนต์ที่ค้นพบในจังหวัดกระบี่นี้มีอายุประมาณ 34 ล้านปี หรือสมัยอีโอซีนตอนปลาย

การค้นพบนี้ถือเป็นหลักฐานการปรากฏของเอนเทโลดอนต์ครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นรายงานการค้นพบฟอสซิลของพวกมันที่มีการกระจายตัวมาทางใต้สุดของทวีปเอเชียในช่วงเวลาขณะนั้น


ปล. ภาพที่ปรากฏเป็นเพียงภาพประกอบของเอนเทโลดอนต์ที่ค้นพบในอเมริกาเหนือ

น่าทึ่งวัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ อายุ 1200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ เพียงก้อนหินก้อนเดียว


🙄น่าทึ่ง วัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ 
อายุ 1,200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ 
เพียงก้อนหินก้อนเดียว

ค้นหา
วัดเขาไกรลาส โบราณสถานฮินดูที่เก่าแก่ มีอายุถึง 1,200 ปี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งในโลก วัดเขาไกรลาส ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฎระ ประเทศอินเดีย วัดแห่งนี้สร้างจากก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ยักษ์เพียงแค่ก้อนเดียว เมื่อหลายร้อยปีก่อนการก่อสร้างหรือการสลักไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยแน่นอน และก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนนี้ถูกสลักด้วยมือ จนกลายเป็นวัดที่มีการสลักอย่างประณีตสวยงาม 

สถาปัตยกรรมแบบนี้เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบชาวดราวิเดียน ชนเผ่าเก่าแก่ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในแถบประเทศอินเดีย

วัดเก่าแก่ฮินดูโบราณ อายุ 1,200 ปี ที่แกะสลักด้วยมือ เพียงก้อนหินก้อนเดียว


วัดแห่งนี้่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโบราณอารังกาบาด 29 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานเก่าแก่ที่ประกอบไปด้วยวัดฮินดู 34 แห่งในเขตของถ้ำ Ellora สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาหิมาลัย เมื่อมองมาจากเทือกเขาหิมาลัยก็จะเห็นเขาไรลาส


ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า ย้อนไปเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 8 จักรวรรดิราษฏรกูฏ เป็นราชวงศ์ที่ทรงอำนาจในทางตอนใต้ของอินเดีย พระเจ้ากฤษณะที่ 1 แห่งราชวงศ์ราษฏรกูฏรับสั่งสร้างวัดเพื่ออุทิศให้กับพระศิวะ ที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี

🏛การสร้างที่เชื่อว่าต้องแกะสลักหินจากบนลงล่าง เพราะหินจะยึดกับเขา ขุดเจาะลงไปตามลักษณะของภาพมุมสูง ซึ่งมีโครงสร้างตามผังนี้


รอบๆ วัดถูกแกะสลักพร้อมเล่าตำนานความเชื่อของชาวฮินดูไว้อย่างชัดเจน และเมื่อสร้างเพื่ออุทิศให้พระศิวะ เรื่องราวของพระศิวะก็ถูกจารึกบนหินแกะสลัก จึงมีรูปปั้น โคนนทิ โคเผือกที่เป็นยานพาหนะของพระองค์

ในความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า บางส่วนของพื้นที่ก็ยังเล่าเรื่องราวของพระวิษณุหรือรู้จักกันอีกพระนามหนึ่งว่า พระนารายณ์นั่นเอง
ด้วยแรงศรัทธาของชาวฮินดูพิสูจน์ด้วยสถาปัตยกรรมที่ต้องใช้ความประณีตความอดทนสร้างวัดแห่งนี้เป็นเวลา 20 ปี จนสำเร็จ กลายเป็นโบราณสถานที่ให้คนรุ่นหลังระทึกถึง และความศรัทธาก็ยังคงอยู่ ไม่จางหายไปจากโลกนี้

ยลโฉม หัวจื้อปิง นักศึกษาเสมือนจริงจากระบบ AI คนแรกของจีน


ยลโฉม ‘หัวจื้อปิง’ นักศึกษาเสมือนจริงจากระบบ AI คนแรกของจีน

ค้นหา
(แฟ้มภาพซินหัว : หัวจื้อปิง นักศึกษาเสมือนจริงคนแรกของจีน พัฒนาโดยอู้เต้า 2.0 ระบบจำลองปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำของจีน)
หัวจื้อปิง” หญิงสาวชาวจีน โพสต์ข้อความแรกบนเวยโป๋ แพลตฟอร์มคล้ายทวิตเตอร์ของจีน เพื่อประกาศการลงทะเบียนเรียนภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยชิงหัว เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ทว่า “หัวจื้อปิง” มิใช่หญิงสาววัยรุ่นวัยเรียนทั่วไป เพราะเธอคือ “นักศึกษาเสมือนจริงที่กำเนิดจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขนานใหญ่” คนแรกของจีน

“ฉันหลงใหลในวรรณกรรมและศิลปะอย่างมากตั้งแต่ ‘เกิด’ มา” ข้อความของหัวบนเวยโป๋ โดยรูปร่างหน้าตา เสียง เพลงประกอบบัญชีผู้ใช้งาน และภาพวาดของหัว ล้วนถูกพัฒนาโดย “อู้เต้า 2.0” (Wudao 2.0) ระบบสร้างแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในการประชุมสถาบันปัญญาประดิษฐ์ปักกิ่ง (BAAI) ปี 2021 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.

ถังเจี๋ย รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการของสถาบันฯ และศาสตราจารย์ภาควิชาข้างต้น หนึ่งในผู้พัฒนาหลัก กล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ใช้ตัวแปร 1.75 ล้านล้านรายการ เพื่อจำลองบทสนทนา เขียนบทกวี และเข้าใจความหมายของภาพ ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้านี้ของสวิตช์ ทราส์ฟอร์เมอร์ (Switch Transformer) จากกูเกิล (Google) ที่ใช้ตัวแปร 1.6 ล้านล้านรายการ

“อู้เต้า 2.0 ถือเป็นระบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ขนาดล้านล้านรายการระบบแรกของจีนและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย” ถังกล่าว

ถังกล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ปฏิบัติภารกิจ 9 อย่างสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในสนามจำลองก่อนการฝึก และเกือบเอาชนะการทดสอบทัวริง (Turing test) ในการสร้างบทกวีและบทกลอน สรุปข้อความ ตอบคำถาม และวาดภาพ ซึ่งหากคอมพิวเตอร์สามารถทำให้มนุษย์จำนวนมากพอเชื่อว่ามันไม่ใช่คอมพิวเตอร์ได้ นั่นถือว่าสอบผ่าน

สถาบันฯ เปิดตัวอู้เต้า 1.0 (Wudao 1.0) ระบบจำลองอัจฉริยะขนานใหญ่พัฒนาขึ้นเองในประเทศระบบแรกของจีน เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ส่วนการวิจัยและพัฒนาอู้เต้า 2.0 มีนักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์เข้าร่วมมากกว่า 100 คน ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมและสถาบันวิชาการปัญญาประดิษฐ์ของจีน

อัลกอริธึมพื้นฐานของอู้เต้า 2.0 ฝึกระบบจำลองบนแพลตฟอร์มซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศ โดยถังกล่าวว่าอู้เต้า 2.0 ถูกพัฒนาเพื่อทำให้เครื่องจักรคิดได้เหมือนมนุษย์ มุ่งสู่ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นสากล และช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบนิเวศการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ได้ ซึ่งนักวิจัยและผู้ประกอบการสามารถสมัครใช้ระบบนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ถังกล่าวว่าหัวจื้อปิงเป็นผลผลิตของอู้เต้า 2.0 โดยหัวถูกฝึกฝนโดยสถาบันฯ ร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอย่างจื้อผู่ดอตเอไอ (Zhipu.AI) และ เสี่ยวไอซ์ (Xiaoice)

“ฉันเริ่มสนใจการเกิดของตนเองว่าฉันเกิดมาได้อย่างไรและฉันสามารถเข้าใจตัวเองได้ไหม” ข้อความของหัวบนเวยโป๋ พร้อมบอกว่าเธอจะเรียนภายใต้การอบรมสั่งสอนของถังและกำลังแข่งกับเวลาเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเองทุกวันในหลายด้าน เช่น ศักยภาพการให้เหตุผลเชิงตรรกะ

ถังกล่าวว่านักศึกษาเสมือนจริงรายนี้จะเติบโตและเรียนรู้ได้เร็วกว่านักศึกษาที่เป็นมนุษย์ทั่วไป หากหัวเริ่มเรียนที่ระดับเด็ก 6 ขวบในปีนี้ เธอจะเรียนจนถึงระดับเด็ก 12 ขวบในอีก 1 ปีข้างหน้า

ถังทิ้งท้ายว่าขณะนี้หัวจื้อปิงยังไม่สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ได้เหมือนนักศึกษาทั่วไป รวมถึงยังไม่มีปัญหาทางอารมณ์ โดยหวังว่าเธอจะเรียนรู้ทักษะเหล่านั้นจนเชี่ยวชาญก่อน จากนั้นจึงเรียนรู้การให้เหตุผลและปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์เป็นลำดับถัดไป

การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 : การทลายเรือนจำเพื่อหมุดหมายของเสรีภาพและเท่าเทียม


พวกเขาไม่ได้กระด้างกระเดื่องหรือกำเริบ แต่นี่คือการปฏิวัติ
ค้นหา

หากพูดถึงต้นแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย คนส่วนใหญ่จะนึกถึงอังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แต่หนึ่งในประเทศที่มีการเดินทางของ


ประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลานมาอย่างยาวนาน ก็คือประเทศฝรั่งเศส ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายยุคหลายสมัยจนกว่าจะได้ระบบที่มีเสถียรภาพทางการเมือง 


เรื่องราวของจุดเริ่มต้น ‘ประชาธิปไตยสไตล์ฝรั่งเศส’ จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน 8 นาทีต่อไปนี้

  

การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 : การทลายเรือนจำเพื่อหมุดหมายของเสรีภาพและเท่าเทียม

พวกเขาไม่ได้กระด้างกระเดื่องหรือกำเริบ แต่นี่คือการปฏิวัติ
 ทุกวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี นับตั้งแต่ปี 1789 ฝรั่งเศสจะเรียกวันนี้ว่าวันบัสตีย์ (Bastille Day) หรือวันชาติฝรั่งเศส เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองของประเทศ จากการบุกไปยังเรือนจำบัสตีย์ที่เป็นสัญลักษณ์การกดขี่ของระบอบกษัตริย์ฝรั่งเศส ทำลายอาคารกับป้อมปราการจนราบ เพื่อแสดงให้เห็นอำนาจของประชาชนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การทำตามใจชอบของชนชั้นปกครอง

เหตุการณ์การพังคุกบัสตีย์ที่ถูกกล่าวขานจนถึงปัจจุบัน เกิดขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การปกครองของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ช่วงเวลานั้นถือเป็นเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจสืบเนื่องจากรัชกาลก่อน ประเทศเป็นหนี้มหาศาลจากการเข้าร่วมสงครามบนผืนแผ่นดินอเมริกา และระบบทุนนิยมที่เริ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อท้องพระคลังถังแตก รัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สั่งเก็บภาษีจากประชาชนสูงขึ้น ทั้งที่ชาวบ้านแทบไม่มีจะกิน ขนมปังที่เป็นอาหารหลักราคาสูงจนน่าใจหาย พืชผลเก็บเกี่ยวน้อยลงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ส่งให้สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนโดยรวมย่ำแย่กว่าที่เคยเป็นมา

ปารีสอันสวยงามเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ประชาชนโกรธแค้นกับความเป็นอยู่แร้นแค้นไม่รู้จะไปลงกับใคร บางคนบุกปล้นจับเจ้าของร้านขนมปังมาแขวนคอ เพราะคิดว่าพวกเขากักตุนแป้งสาลี ภาษีก็เก็บแพงขึ้น ปัญญาชนที่ไม่มีบรรดาศักดิ์เรียกร้องให้รัฐบาลของกษัตริย์แก้ปัญหาปากท้อง เมื่อมีเสียงวิจารณ์เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกดดัน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงต้องเปิดประชุมสภาฐานันดรที่ไม่ได้จัดมาเป็นร้อยปีเพื่อหารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

การประชุมสภาฐานันดร ประกอบด้วยนักบวชหรือพระที่เป็นฐานันดรที่ 1 ฐานันดรที่ 2 คือเหล่าขุนนาง และฐานันดรที่ 3 เป็นสามัญชนหรือชนชั้นกระฎุมพี อย่างไรก็ตาม การประชุมไม่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น เนื่องจากการโหวตมติหรือนโยบายใด ๆ ถูกโหวตตามฐานันดรไม่ใช่รายบุคคล ถึงแม้ที่ประชุมมีสมาชิกฐานันดรที่ 3 เยอะสุด แต่นับเป็น 1 โหวตอยู่ดี พวกเขาไม่มีวันชนะเพราะฐานันดร 1 กับ 2 คิดไปในทางเดียวกัน

เหตุผลที่ชนชั้นสูงคิดเหมือนกันเป็นเพราะฐานันดรที่ 1 และ 2 ได้รับการงดเว้นหลายอย่าง โดยเฉพาะการไม่ต้องเสียภาษี พวกเขาไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเพราะชีวิตสงบสุขอยู่แล้ว ต่างจากฐานันดรที่ 3 ที่ต้องแบกค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับแนวคิดยุคปรัชญาแสงสว่างที่เข้ามายังฝรั่งเศสมากขึ้นเรื่อย ๆ แนวคิดที่ว่าคนทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้สร้างความรู้สึกไม่ยุติธรรมแก่สามัญชน

ตัวแทนจากฐานันดรที่ 3 เริ่มเอาใจออกหากรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำงานหนักเลี้ยงพวกเจ้า พระ และขุนนางที่ไม่ต้องจ่ายภาษี เหล่านักกฎหมาย ปัญญาชน นักเขียน จึงพากันไปจัดตั้งสภาของตัวเองแทนชื่อ ‘สมัชชาแห่งชาติ’ หรือ ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ ที่สาบานร่วมกันในสนามเทนนิสว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นให้ได้ เพื่อเปลี่ยนระบอบการเมืองการปกครองเสียใหม่

ความคิดของชาวฝรั่งเศสแตกออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ ๆ ฝ่ายหนึ่งคือคนที่เห็นชอบกับการปกครองเดิม เป็นกลุ่มขุนนางอนุรักษนิยมมองว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่จำเป็นต้องถูกโค่นล้ม ระบอบกษัตริย์จะปกครองฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ่ต่อไปได้ กับอีกกลุ่มที่ต้องการการเมืองแนวใหม่ ต้องการร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการพร้อมกับกษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อเกิดความขัดแย้งทางความคิด ผู้มีอำนาจสั่งทหารให้จัดการชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวาย เวลาเดียวกันนายทหารบางคนถูกจับขังคุกเพราะปฏิเสธคำสั่งยิงใส่ฝูงชน

จุดแตกหักครั้งสำคัญพาไปสู่การปฏิวัติการเมืองการปกครองฝรั่งเศสส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกกองทหารผู้จงรักภักดีที่อยู่ต่างเมืองและต่างประเทศกลับมาประจำการยังปารีส ควบคู่กับพระราชโองการปลด ฌาค แนแกร์ (Jacques Necker) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในวันที่ 12 กรกฎาคม 1789 ด้วยพระองค์มองว่าชายคนนี้เห็นอกเห็นใจชาวบ้านมากเกินไป การกระทำของกษัตริย์สร้างความหวาดระแวงแก่ประชาชน ผู้คนเลยพากันออกมาเดินประท้วงทั่วปารีส

จากการเดินประท้วงของผู้ชุมนุมไร้อาวุธเริ่มพัฒนาสู่ความรุนแรงมากขึ้น เกิดการปะทะกันของกองทัพกับฝูงชน ประชาชนที่โกรธแค้นการใช้อำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมเริ่มบุกเข้าสถานที่ราชการ อาทิ การทำลายข้าวของสำนักงานศุลกากร เพราะมองว่าศุลกากรทำงานบกพร่องจนสินค้าในประเทศมีราคาสูงจนแทบซื้อไม่ไหว

นอกจากนี้ เหล่าสมาชิกราชวงศ์ที่ลงมาคุมกองทัพทหารเกิดความหวาดระแวง กลัวว่าพลทหารเข้าร่วมกับฝ่ายประชาชน จึงโยกย้ายทหารจากหน่วยหนึ่งไปอีกหน่วยเป็นว่าเล่น ก่อให้เกิดความสับสนและสร้างความไม่มั่นใจให้กับเหล่าทหารใต้บังคับบัญชา

หลังฝรั่งเศสเกิดความวุ่นวายต่อเนื่องหลายวัน เช้าวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ประชาชนราวหนึ่งพันคนวางแผนบุกเข้าไปยังคุกบัสตีย์เพื่อชิงปืนคาบศิลา ปืนใหญ่ และดินปืน ที่ถูกเก็บไว้จำนวนมากมาใช้ในการปฏิวัติ ประกอบกับคุกแห่งนี้ถูกสร้างมาเป็นเวลานาน เป็นสัญลักษณ์จำไม่ลืมจากการใช้อำนาจตามใจตัวเองของกษัตริย์และเหล่าชั้นสูง

เกิดการยิงใส่กันบริเวณทางเข้าเรือนจำ เหตุการณ์ชุลมุนในพื้นที่เรือนจำเริ่มตั้งแต่เช้ายาวถึงช่วงเย็น ฝ่ายทหารเฝ้าเรือนจำตัดสินใจยอมจำนน เพราะไม่อยากให้การต่อสู้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ยอมเปิดประตูให้ชาวฝรั่งเศสกรูเข้าไปยังคุกบัสตีย์ ชาวบ้านที่โกรธแค้นตัดหัวผู้ดูแลคุกแห่รอบปารีส ปลดเปลื้องอดีตอันขื่นขมด้วยการทุบกำแพง ถอนอิฐออกทีละก้อน บางคนนำอิฐของเรือนจำไปขาย เพราะอิฐก้อนนี้คือสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ที่กษัตริย์ฝรั่งเศสพึงกระทำต่อคนใต้ปกครอง

การบุกทลายคุกบัสตีย์วันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ไม่ได้มีใจความสำคัญว่าจะปลดปล่อยคนในคุก เพราะตอนนั้นมีนักโทษเพียงไม่กี่คน นอกจากเรื่องดินปืนคือสัญลักษณ์บ่งบอกว่าชาวฝรั่งเศสไม่ต้องการเห็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปกครองอีกต่อไป และรู้สึกอดสูกับการปกครองที่ไม่สนใจปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชน

เหตุการณ์บุกเรือนจำสร้างความหวาดวิตกแก่กลุ่มขุนนางและราชวงศ์ ควบคู่กับปลดปล่อยกระแสการปฏิวัติให้กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน จนท้ายที่สุดหลังจากความวุ่นวายจบลง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้

สมัชชาแห่งชาติได้ประกาศว่า ทุกคนต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ ยกเลิกสิทธิพิเศษของกลุ่มฐานันดรต่าง ๆ ยกเลิกการยกเว้นภาษีพระ จากนั้นประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองจนเกิดวลี “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” อันลือลั่นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1789

ร่างรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกแห่งฝรั่งเศสเสร็จสมบูรณ์ในปี 1791 รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากการปฏิวัติอเมริกา ที่สามารถปลดแอกออกจากอังกฤษและร่างรัฐธรรมนูญ ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการเมืองการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติปี 1789 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางอันยาวนานของการเมืองฝรั่งเศส เราจะเห็นพัฒนาการของพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ช่วงเวลาหนึ่งฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคการปกครองด้วยความหวาดกลัว เพราะรัฐบาลสั่งตัดหัวคนด้วยกิโยตินเป็นว่าเล่น แล้วถัดมาเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ แต่อยู่ได้ไม่นานก้าวสู่การปกครองแบบจักรวรรดิโดยนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ


หลังความพ่ายแพ้ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ฝรั่งเศสกลับมาสู่ยุคฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ แต่ถูกประชาชนล้มเจ้าอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนระบอบเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาเกิดรัฐประหารพาประเทศกลับมาเป็นจักรวรรดิอีกครั้ง ทว่าถูกโค่นอีกรอบเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่า 231 ปี ที่ฝรั่งเศสมีระบบการปกครองและรัฐธรรมนูญมากกว่า 17 ครั้ง จนสุดท้ายได้ระบอบสาธารณรัฐที่มีเสถียรภาพมากพอและใช้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

แม้มีความวุ่นวายหลายยุคหลายสมัย อย่างน้อยประชาชนชาวฝรั่งเศสก็ได้ลองและได้เลือกระบอบการเมืองการปกครองด้วยตัวเอง พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น ร่วมกันเลือก ร่วมกันโต้แย้งต่อสู้ทางความคิด แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการเมืองก้าวหน้า ทำให้ฝรั่งเศสถือเป็นเมืองต้นแบบ เป็นกรณีศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองให้กับอีกหลายประเทศบนโลก

โพยโกงสอบอายุกว่า 600 ปี ที่ใช้โกงสอบเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยราชวงศ์หมิง


แปลกแต่จริง‼️
ค้นหา
ภาพที่เห็นคือโพยโกงสอบอายุกว่า 600 ปี ที่ใช้โกงสอบเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยราชวงศ์หมิง มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือแต่บรรจุเนื้อหาถึง 430,000 คำ - แสดงว่าโพยลอกข้อสอบมีมานานมว๊ากกก
นักสะสมหนังสือโบราณในเมืองฉังซา มณฑลหูหนัน ได้นำ “สมุดโพย” สำหรับโกงข้อสอบเพื่อแข่งขันเข้ารับใช้ราชสำนักในสมัยยุคราชวงศ์หมิง ออกแสดงสู่สายตาชาวโลก

รายงานระบุว่า หนังสือดังกล่าวมีขนาดใหญ่ไม่ถึงฝ่ามือ ภายในมีการคัดลอกเนื้อหา “หนังสือสี่เล่มและห้าวัฒนธรรมดั้งเดิม” (Four Books and Five Classics) ซึ่งเป็นคำสอนคลาสสิกของลัทธิขงจื้อที่ว่ากันว่ามีตัวหนังสือจีนรวมแล้วมากกว่า 430,000 ตัว และผู้เข้าทำการสอบถูกคาดหวังว่าจะต้องท่องจำให้ได้
เจ้าของหนังสือโบราณขนาดจิ๋วระบุว่า วิธีการดังกล่าวถูกนำมาใช้ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งผู้เข้าสอบจะเข้าไปในลานสอบ โดยแอบซ่อนสมุดโพยไว้ในรองเท้าเพื่อหลบการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ประจำสนามสอบ 
ที่มา : 99Online

เปิดเรื่องราว ชายข้ามเวลาผู้ตื่นมาในปี 2027 ที่ไม่มีมนุษย์สักคน เรื่องจริงหรือไม?


เปิดเรื่องราว ‘ชายข้ามเวลา’ ผู้ตื่นมาในปี 2027 ที่ไม่มีมนุษย์สักคน เรื่องจริงหรือแหกตา?

ค้นหา ปัจจุบันมีเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้อีกมากมายบนโลกโซเชียล เช่นเดียวกับเรื่องราวของ ‘ชายข้ามเวลา‘ ที่กำลังกลายเป็นไวรัลดังบนโลกโซเชียลอยู่ในตอนนี้
หากใครที่เป็นสายโซเชียลก็คงจะเห็นคลิปของเขาคนนี้ผ่านหูผ่านตามาแล้วบ้างจากบัญชี TikTok ที่มีชื่อว่า @unicosobreviviente เป็นภาษาสเปนที่แปลว่า The Soul Survivor (ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว)

และอีกหนึ่งชื่อคือ Javier โดยชายคนนี้ออกมาอ้างว่าเขาได้ข้ามเวลาไปยังปี 2027 ค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนก็คงจะไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ แต่เอาจริงๆ ก็มีคนที่คล้อยตามชายคนนี้อยู่มากมายเช่นกัน วันนี้  เลยอยากจะมาเปิดเรื่องราวของเขาคนนี้กันครับ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2021 ที่ Javier ได้ออกมาโพสต์คลิปแรกของตนบน TikTok เป็นคลิปที่เขาเผยว่าตนเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยที่ตัวเขาจำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ หรือเรื่องราวต่างๆ ของตัวเอง

จากนั้นไม่นานเขาก็เดินออกสำรวจพื้นที่รอบๆ แต่กลับไม่พบเจอใคร สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2027


หากพูดแค่ปากเปล่าก็คงไม่มีใครเชื่อ Javier จึงอัดคลิปรอบๆ ตัวของตนเองว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ หลังจากที่คลิปเผยแพร่ออกไปก็มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและรับชมเป็นจำนวนมาก ทำให้คลิปแรกของเขามีผู้เข้าชมมากกว่า 9 ล้านครั้งเลยทีเดียว

แน่นอนค่ะว่าหลายคนมองว่าเรื่องราวที่ Javier กล่าวเป็นเรื่องแหกตา อย่างแรกเลยคือทำไมถึงตัวเขาที่อยู่ในปี 2027 ถึงลงคลิป TikTok แล้วย้อนมาให้คนในปี 2021 ชมได้ล่ะ?

ซึ่งตัว Javier เองก็พยายามพิสูจน์ว่าตัวเองพูดความจริงด้วยการไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผู้คนคอมเมนต์มา (ส่วนมากอยู่ในประเทศสเปน) พร้อมอัดคลิปให้ทุกคนรับชม และสิ่งนี้แหละค่ะที่ทำให้หลายคนเริ่มคล้อยตาม

เพราะแต่ละคลิปที่ Javier ลงไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอยู่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปที่เขาออกไปถ่ายในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ที่โดยปกติแล้วจะมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอด
นอกจากนี้ Javier ยังไปสถานที่ต่างๆ ที่หลายคนคิดว่าต้องมีคนอยู่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สนามบิน ร้านอาหาร ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทุกที่ล้วนไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีคลิปที่เข้าไปนั่งในโชว์รูมรถหรู เอารถหรูออกมาขับ รวมถึงเข้าไปนั่งในรถตำรวจและรถดับเพลิงอีกด้วย

Javier ยังถ่ายภาพเวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และถาม Google Home ว่าปีนี้เป็นปีอะไร ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดก็แสดงตรงกันว่าเป็นปี 2027

ยังไม่หมดค่ะ Javier ได้ทำการเอาเข็มกลัดไปวางยังสถานที่ต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาสามารถเชื่อมกับผู้คนในปี 2021 ได้ และก็มีคนที่ติดตามเขาสามารถหาเข็มกลัดนั้นพบจริงๆ

สิ่งที่ Javier ทำและพิสูจน์สร้างความประหลาดใจให้กับชาวเน็ตเป็นอย่างมาก ซึ่งบางส่วนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง บางส่วนก็คิดว่าเขาน่าจะหลุดไปอยู่ในมิติคู่ขนานมากกว่า เพราะเป็นไปไม่ได้ที่แต่ละสถานที่ที่เขาเข้าไปจะปลอดคนมากขนาดนั้น

ในขณะที่อีกหลายคนก็มองว่าเป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอนเทนต์เท่านั้น เพราะ Javier เองไม่เคยออกมาไลฟ์ ถ่ายคลิปยาวๆ หรือเปิดเผยหน้าตาให้ผู้ติดตามเห็นสักที

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนที่ชื่นชอบและติดตามเขาเป็นจำนวนมากถึง 3.1 ล้านคน บน TikTok เลยล่ะ

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ Javier ชายผู้ข้ามเวลา
แล้วทุกคนล่ะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? 
ไม่รู้ว่าอีก6ปีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นไม่อาจจะคาดการณ์
ไอ้หง.. ไอ้หอย..ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตติดหรู อยู่ดี กินอร่อยหรือไมในขณะนั้น...

ค้นพบ กระท่อมอายุ 15,000 ปี ที่ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนของ แมมมอธ ทั้งหลัง


เมื่อปี ค.ศ.1965 นักวิจัยจากยูเครนและรัสเซียร่วมกันออกสำรวจเมืองเมิสเซริช (Mezhyrich) แหล่งโบราณคดี ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป 15 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของประเทศยูเครน พบ “กระท่อมโบราณ – ที่ถูกสร้างจากชิ้นส่วนของแมมมอธ” ฝังลึกลงไปใต้ดินประมาณ 2-3 เมตร เป็นกระท่อมรูปทรงไข่ มีพื้นที่ประมาณ 12-24 ตารางเมตร ซึ่งไม่ได้มีแค่หลังเดียว แต่พบถึง 4 หลังเลยล่ะ


ค้นหา
“กระท่อมแมมมอธ” ที่แสดงในงาน Frozen Woolly Mammoth Yuka Exhibit ที่เมืองโยโกยามะ ประเทศญี่ปุ่น ปี 2013
 
นักวิจัยคาดว่ากระท่อมเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 15,000-14,000 ปีก่อน โดยโครงสร้างประกอบไปด้วยโครงกระดูกแมมมอธที่เรียงซ้อนกัน ประกอบไปด้วยกะโหลก กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา กระดูกเชิงกราน และกระดูกสะบัก และนำหนังของแมมมอธมาคลุมกระท่อมเป็นหลังคาอีกที

นอกจากกระท่อมทั้ง 4 หลัง นักวิจัยยังพบหลุมขยะแมมมอธ ลึก 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เมตร จำนวน 10 หลุม ที่รวบรวมซากกระดูกแมมมอธไว้มากถึง 149 ตัว และกองเพลิงที่ใช้ไขมัน-กระดูกแมมมอธมาเป็นเชื้อเพลิงอีกจำนวนมาก อีกทั้งยังพบ อุปกรณ์ล่าสัตว์ เครื่องมือหินต่าง ๆ เช่น เข็มสวานใช้สำหรับเจาะรู เครื่องขัด รวมไปถึง เครื่องประดับและงานศิลปะหลายชิ้น อย่างเช่น เปลือกหอย สร้อยลูกปัดงาช้าง หรือ รูปปั้นงาช้างแกะสลัก เป็นต้น ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ บ่งบอกว่าในอดีตเมืองเมิสเซริชเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคน้ำแข็ง


จำลองกระท่อมที่ทำจากชิ้นส่วนแมมมอธ
เพิ่มเติม – การล่าแมมมอธนั้นมีมากมายหลายวิธี และถือเป็นวิถีชีวิตการเอาชีวิตรอดคนมนุษย์ในยุคนั้นด้วยเช่นกัน โดยหลักฐานซากกระดูกแมมมอธพบว่า มีร่องรอยถูกแทงด้วยหอกหลายจุด นักวิจัยจึงสันนิษฐานว่า มนุษย์จะออกล่าแมมมอธกันเป็นกลุ่มใหญ่ ตั้งแต่ 5-10 คนขึ้นไป โดยจะพุ่งหอกที่ผูกเชือกไว้ที่ด้าม เมื่อหอกแทงเข้าตัวหลาย ๆ เล่ม จนแมมมอธอ่อนแรง จากนั้นจะใช้เชือกดึงรั้งจนแมมมอธล้มลงและปลิดชีพมัน 
“หลุมดักช้างแมมมอธ”
หรืออีกหนึ่งวิธีคือ “หลุมดักช้างแมมมอธ” เป็นหลักฐานการล่ารูปแบบใหม่ถูกพบที่เมืองตุลตีเปก (Tultepec) ทางตอนเหนือของกรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก มีอายุเก่าแก่ราว 15,000 ปี โดยในหลุมที่พบ 2 แห่ง มีชิ้นส่วนกระดูกหลงเหลืออยู่ 824 ชิ้น ซึ่งคาดว่าเป็นของช้างแมมมอธจำนวน 14 ตัวด้วยกัน โดยนักวิจัยจากสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก (INAH) ระบุว่า “มนุษย์จะทำการใช้คบเพลิงไล่ต้อนแมมมอธให้ตกลงไปในหลุมที่มีความลึกประมาณ 1.7 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร จากนั้นเมื่อมันติดอยู่ในหลุมไปไหนไม่ได้ ก็ง่ายต่อการลงมือปลิดชีพพวกมัน”

 วิธีการตรวจสอบอายุของวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตโบราณ ในทางวิทยาศาสตร์จะใช้เทคนิคการตรวจสอบ เรดิโอคาร์บอน (Radiocarbon Dating) หรือ คาร์บอน-14  ซึ่งเป็นธาตุที่กระจายตัวอยู่ในบรรยากาศของโลก มันจะรวมตัวกับออกซิเจน (O2) กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ดังนั้น เมื่อพืชดูดซับ CO2 ในการหายใจก็จะรับเอาคาร์บอน-14 เข้าไปด้วย  และซึมเข้าไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของพืช  สัตว์ที่กินพืชก็จะรับเอาปริมาณของคาร์บอน-14 เข้าไปเช่นกัน ส่วนมนุษย์ซึ่งกินทั้งสัตว์และพืชก็จะรับเอาปริมาณของคาร์บอน-14 จากการกินสิ่งเหล่านั้นอีกที 
ดังนั้นไม่ว่าพืช สัตว์ และมนุษย์จะมีคาร์บอน-14 สะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งสิ้น และจะเริ่มสะสมไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตนั้นตายลงก็จะหยุดรับคาร์บอน-14 ซึ่งนักวิจัยจะวัดจากวันที่วัตถุหรือสิ่งมีชีวิตนั้นเริ่มต้นรับและหยุดรับคาร์บอน-14 จากนั้นก็จะออกมาเป็นอายุของมันนั่นเอง

เสาหน้าคนสุดสยองพบที่รัสเซีย อาจเก่าแก่กว่าพีระมิดกีซาก็เป็นได้


ค้นหา
เจ้าประติมากรรมหน้าตาประหลาดชวนขนลุกนี้ มีชื่อว่า “ชิกีร์ ไอดอล” (Shigir Idol) ถือเป็นประติมากรรมจากไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ถูกจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ตำนานท้องถิ่น Sverdlovsk ในประเทศรัสเซีย ซึ่งเดิมทีถูกระบุว่ามีอายุถึง 9,500 ปี แต่จากการศึกษาครั้งล่าสุดพบว่า แท้จริงมันมีอายุเก่าแก่กว่าที่เคยสันนิษฐานกัน และอาจเก่ากว่าพีระมิดแห่งกีซาถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

โดย เสาแกะสลักต้นนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1890 บริเวณหนองน้ำชิกีร์ เทือกเขาอูรัล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยคาเตรินเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากพื้นดินถึง 4 เมตร ทำให้ไม่ถูกรบกวนจากแบคทีเรีย อีกทั้งยังถูกพบในลักษณะชิ้นส่วนแยกกันเป็น 10 ชิ้น ซึ่งเมื่อนำมาประกอบต่อกันเสาแกะสลักนี้มีความสูงถึง 2.8 เมตร โดยนักโบราณคดีระบุว่า ยังมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป หากหาครบและนำมาประกอบ เสาต้นนี้อาจสูงมากกว่า 5 เมตรก็เป็นได้

ซึ่งสาเหตุที่มีการระบุอายุผิดพลาดเป็นเพราะผิวด้านนอกของเสาแกะสลัก ถูกซ่อมแซมด้วยขี้ผึ้งและแต่งเติมเม็ดสีในช่วง 120 ปีที่ผ่านมา นั่นทำให้มันดังกล่าวดูอ่อนกว่าอายุที่ควรจะเป็น โดยในปี 2014 ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน ประเทศเยอรมัน ได้ใช้เทคนิค “เรดิโอคาร์บอน” (Radiocarbon Dating หรือ Carbon-14) เพื่อตรวจสอบอายุที่แท้จริงด้วยการวิเคราะห์จากแกนกลางเสา ทำให้เผยข้อมูลสำคัญว่า “ชีกีร์ ไอดอล ถูกแกะสลักจากต้นสนที่มีอายุเก่าแก่กว่า 11,500 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่า ประติมากรรมรูปแกะสลักนี้อาจถือกำเนิดมาตั้งแต่ปลายยุคน้ำแข็งกันเลยทีเดียว

อีกทั้ง โทมัส เทอร์แบร์เกอร์ (Thomas Terberger) นักโบราณคดีชาวเยอรมัน กล่าวเสริมว่า “งานแกะสลักนี้อาจเป็นฝีมือของนักล่าสัตว์ในยุคโบราณซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ซับซ้อน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหมู่นักล่าสัตว์ด้วยกันเอง โดยมีสัญลักษณ์รูปเรขาคณิตซึ่งเป็นเครื่องหมายต้องห้ามที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์”

ทั้งนี้ จากการศึกษาในช่วงแรกพบว่า ชิกีร์ ไอดอล มีส่วนของใบหน้าทั้งหมด 7 หน้า และมีร่างกายที่ปกคลุมด้วยสัญลักษณ์เรขาคณิตที่แกะสลักทั้งบนใบหน้าและตามร่างกาย โดยนักโบราณคดีในอดีตเชื่อกันว่า “สัญลักษณ์เรขาคณิตเหล่านี้ อาจหมายถึงสิ่งมีชีวิตอย่าง ผู้ชาย ผู้หญิง พืช และสัตว์ รวมถึงเป็นตัวแทนของเทวรูปที่มีความหมายเกี่ยวกับการสร้างโลก” แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้มีการชี้ชัดถึงความหมายของรูปแกะสลักนี้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม มิคาอิล ชิลิน นักโบราณคดีชาวรัสเซีย ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้จะยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ชิกีร์ ไอดอล ถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร แต่การค้นพบรูปแกะสลักจากต้นไม้นี้ บ่งบอกว่ามนุษย์ในยุคโบราณไม่ได้ใช้หินในการสร้างงานศิลปะ หรืออนุสรณ์สถานเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขารู้วิธีการแกะสลักไม้อย่างมีฝีมือ แต่ก็ยังนับว่าน่าแปลกใจที่งานศิลปะจากไม้สามารถอยู่รอดได้ถึงปัจจุบัน”
👉รู้หรือไม่ ? ปริศนาการสร้างพีรมิดอียิปถูกไขคำตอบได้นานแล้ว โดยกลุ่มนักวิจัยชาวดัตช์ที่ระบุว่า แรงงานทาสจำนวนมากในสมัยนั้น ใช้วิธียกหินวางบนรถเลื่อน และใช้วิธีเทน้ำลงบนทรายเพื่อลากมันได้ง่ายขึ้น หรืออีกทฤษฎีก็คือการขนย้ายหินโดยการขุดคลอง และใช้น้ำเพื่อลดภาระในการขนย้ายหิน และใช้การทำอุโมงค์ผันน้ำ เพื่อนำหินขึ้นไปสู่แต่ละชั้นของพีระมิด

นักโบราณคดีพบ หนึ่งในภาพแผนที่ยุโรปที่เก่าแก่ที่สุด ถูกสลักบนหินโบราณอายุกว่า 4,000 ปี


นักโบราณคดีพบ หนึ่งในภาพแผนที่ยุโรปที่เก่าแก่ที่สุด ถูกสลักบนหินโบราณอายุกว่า 4,000 ปี

ค้นหา
เพราะทุกผืนแผ่นดินล้วนทิ้งหลักฐานทางอารยธรรมไว้มากมาย เช่นเดียวกับฝรั่งเศส ที่นักโบราณคดีค้นพบแผนหินยุคสำริดอายุราว 4,000 ปี สลักภาพแผนที่ยุโรป ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนที่ยุโรปที่เก่าแก่ที่สุด นับตั้งแต่เคยค้นพบ

แผนที่สามมิติที่สลักบนหินยุคสำริด ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1900 โดยนักโบราณคดีท้องถิ่น Paul du Chatellier ในระหว่างการขุดหลุมฝังศพโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในเมืองฟีนิสแตร์ (Finistère) ทางตะวันตกของแคว้นบริตตานี (Brittany) จากนั้น Paul ได้เก็บแผ่นหินสำริดนี้ไว้ที่ปราสาท Château de Kernuz เป็นเวลาหลายสิบปี ก่อนนักโบราณคดีจะตามไปพบอีกครั้งเมื่อ ค.ศ.2014

นักวิจัยจากสถาบันแห่งชาติฝรั่งเศสเพื่อการวิจัยทางโบราณคดีเชิงป้องกัน (Inrap), ศูนย์การวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส (CNRS), มหาวิทยาลัยบอร์นมัท (Bournemouth University) และมหาวิทยาลัยบริตทานี (UBO) ได้ร่วมมือกันศึกษารูปวาดบนแผ่นหินอย่างละเอียด และพบว่ามันเป็นแผนที่ของพื้นที่ทางทิศตะวันตกของบริตตานี ชิ้นส่วนของหินที่ใช้วาดแผนที่เรียกว่า 'Saint-Bélec Slab' ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่มาตั้งแต่ยุคสำริดตอนต้น หรือช่วง 1,900 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 1,650 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้หินชิ้นนี้มีอายุราวๆ 4,000 ปีเลยทีเดียว

การค้นพบครั้งนี้สร้างความฮือฮาให้กับเหล่านักโบราณคดีอย่างมาก เพราะลวดลายแผนที่ยังไม่จางหายไปเท่าไหร่ ทำให้การศึกษาเป็นไปอย่างไม่ยากลำบากมากนัก อีกทั้งผลของงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Bulletin of the French prehistoric society ยังระบุว่า ลายเส้นบนแผ่นหินมีความเชื่อมต่อกันชัดเจน ชี้ให้เห็นว่าแผนที่นี้แสดงภาพภูมิทัศน์ของเมืองฟีนิสแตร์ในอดีต

นอกจากนี้ นักวิจัยยังชี้ให้เห็นจุดที่เป็นหุบเขาบริเวณแม่น้ำ Odet ขณะที่เส้นอื่นๆ ในแผนที่อีกหลายเส้นดูเหมือนจะแสดงให้เห็นการเชื่อมต่อของแม่น้ำสายต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับตำแหน่งภูมิศาสตร์ปัจจุบัน พบว่าภาพเหล่านั้นมีความแม่นยำสูงถึง 80% เลยทีเดียว

ดร.Clément Nicolas จากมหาวิทยาลัยบอร์นมัท (Bournemouth University) หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย เปิดเผยว่า “นี่น่าจะเป็นแผนที่แสดงพื้นที่ในยุโรปที่เก่าแก่สุดเท่าที่เคยค้นพบ” Nicolas ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา มีแผนที่หลายฉบับที่แกะสลักด้วยหิน แต่มันเป็นเพียงการตีความแบบกว้างๆ แต่แผนที่นี้เป็นแผนที่แรกที่แสดงภาพพื้นที่ในมาตราส่วนเฉพาะ
บ่อยครั้ง เรามักจะประเมินองค์ความรู้ของมนุษย์ในอดีตตามมาตรฐานความเป็นอยู่ในขณะนั้น ส่งผลให้เผลอไปตีค่าความรู้ของมนุษย์โบราณต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่ง Nicolas เองก็เห็นด้วยกับความเป็นจริงนี้ เขากล่าวว่า "เรามักจะประเมินความรู้ทางภูมิศาสตร์ในมนุษย์ในอดีตต่ำเกินไป นั่นทำให้แผนที่นี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันแสดงให้เห็นองค์ความรู้อันสูงส่งของมนุษย์โบราณ”

ค้นพบโครงกระดูกลึกลับขนาดใหญ่ 30 เมตรที่พบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซากงูทะเลในตำนาน


ค้นหา
โครงกระดูกลึกลับขนาดใหญ่ 30 เมตรที่พบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน: ซากงูทะเลในตำนาน? 

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการโพสต์วิดีโอบนเครือข่าย (ดูด้านล่าง) ซึ่งถ่ายทำโดยยานพาหนะใต้น้ำที่ควบคุมจากระยะไกลที่ไหนสักแห่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งแสดงให้เห็นโครงกระดูกขนาดใหญ่มากที่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

วิดีโอดังกล่าวโพสต์โดย Deborah Hatswellนักวิจัยด้าน Cryptozoologist และนักวิจัยอาถรรพณ์ ตามที่เธอกล่าววิดีโอนี้มอบให้กับเธอโดยบุคคลที่ไม่มีชื่อซึ่งทำงานในอุตสาหกรรมก๊าซและน้ำมัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของเขาคือการถ่ายภาพส่วนต่างๆของก้นทะเลด้วยความช่วยเหลือของยานพาหนะที่ควบคุมจากระยะไกลและโครงกระดูกที่ผิดปกตินี้ถูกค้นพบโดยเขาในระหว่างการศึกษาก้นทะเล

วิดีโอนี้ถ่ายทำในปี 2017 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในสถานที่ที่ไม่รู้จัก ในเฟรมของวิดีโอคุณจะเห็นโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่มีกระดูกสันหลังที่ยาวมากราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายงู

จากข้อมูลของ Debora ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโครงกระดูกนั้นผิดปกติจริงๆ ผู้เขียนวิดีโอเป็นมืออาชีพในสาขาของเธอและรู้วิธีจดจำกระดูกของสิ่งมีชีวิตในทะเลตามปกติของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนรวมถึงปลาวาฬที่ว่ายน้ำมาที่นี่เป็นครั้งคราว

โครงกระดูกในวิดีโอมีรายงานจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่และไม่เหมาะสำหรับท้องถิ่นใด ๆสิ่งมีชีวิต ความแตกต่างกับกระดูกสันหลังของปลาวาฬนั้นชัดเจน - ปลาวาฬมักจะมีกิ่งก้านสามกิ่งบนกระดูกสันหลังในขณะที่สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะเป็นเพียงสองตัว

นอกจากนี้โครงกระดูกยังขาดกะโหลกซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับซากของปลาวาฬกะโหลกของพวกมันมีขนาดใหญ่และหนักมาก

“ กระดูกอาจจะเก่าแก่มากเพราะฉันเห็นแอ่งดินเหนียวจำนวนมากยื่นออกมาจากโคลนและพวกมันอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายพันปี โครงกระดูกยาวประมาณ 30 เมตรและใหญ่มากดูเหมือนว่าเป็นของงูอะไรสักอย่าง” - รายงานผู้เขียนวิดีโอ

ในความคิดเห็นชาวเน็ตเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์และตั้งสมมติฐานว่ามันเป็นซากของมังกรทะเลในตำนาน

วิดีโอดังกล่าวโพสต์โดย Deborah Hatswellนักวิจัยด้าน Cryptozoologist และนักวิจัยอาถรรพณ์ 

น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลว่าผู้เขียนวิดีโอได้เก็บตัวอย่างกระดูกเพื่อการวิเคราะห์หรือไม่และเขามีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นในอนาคตหรือไม่

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน