Custom Search

กฏ 90/10

กฏ 90/10 กฎ นี้ว่าอย่างไรล่ะ? ชีวิตของคุณประกอบไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคุณแค่ 10% แต่อีก 90%ของชีวิตคุณขึ้นอยู่กับว่าคุณมีปฎิกริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆอย่างไร
มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ? เราไม่สามารถจะควบคุมสิ่งต่างๆ 10% ที่มันเกิดขึ้นกับเราได้

เรา ไม่สามารถห้ามไม่ให้รถเสียได้ เราห้ามไม่ให้เครื่องบินถึงช้ากว่าตารางที่กำหนดไม่ได้ – ซึ่งจะทำให้ตารางกำหนดการต่างๆของเรายุ่งเหยิงไปหมด เราห้ามไม่ให้คนอื่นๆ ขับรถปาดหน้ารถเราไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถควบคุม เจ้า 10% นี้ได้ แต่เจ้า 90% นี่สิ...มันต่างกัน คุณสามารถกำหนดเจ้า 90% ที่เหลือได้ ทำได้ยังไงกัน? ...ก็โดยที่เรามีปฎิกริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆไงล่ะ

คุณ ไม่สามารถควบคุมไฟสัญญาณจราจรได้ แต่คุณสามารถควบคุมตัวคุณให้ตอบสนองต่อสัญญาณไฟจราจรได้ อย่าให้ใครมาหลอกคุณได้ ตัวคุณสามารถควบคุมได้ว่าตัวคุณจะแสดงปฎิกริยาออกมาอย่างไร

ลองดูตัวอย่างครับ
คุณ กำลังทานอาหารเช้ากับครอบครัวอยู่ ลูกสาวบังเอิญปัดถ้วยกาแฟหกใส่เสื้อทำงานของคุณ คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นผลจากการที่ท่านแสดงปฎิกริยาออกไปอย่างไร

ท่าน สถบ ท่านดุลูกสาวอย่างเกรี้ยวกราดที่ทำกาแฟหก ลูกสาวร้องไห้ด้วยความเสียใจ หลังจากที่ได้ดุลูกไปแล้ว คุณหันไปที่ภรรยาแล้วต่อว่าที่เธอวางถ้วยกาแฟไว้ใกล้ขอบโต๊ะมากเกินไป ต่อมาก็เป็นการทุ่มเถียงกัน แล้วคุณก็รีบขึ้นไปห้องชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ จากนั้นก็กลับลงมาชั้นล่างแล้วก็พบว่าลูกสาวยังร้องไห้ไม่เลิก ก็เลยทานอาหารเช้าไม่เสร็จ พอรถโรงเรียนมารับ เธอก็ออกไปไม่ทันรถโรงเรียนที่มารับภรรยาคุณต้องรีบไปที่ทำงานแต่เช้าวันนี้ คุณเลยต้องรีบออกรถเพื่อไปส่งลูกสาวก่อน เพราะว่าออกจากบ้านสายคุณก็เลยต้องรับ คุณขับรถ 60 ก.ม. ต่อชั่วโมง ในเขตในเมืองที่ไม่ควรขับเร็วกว่า 40 ก.ม. ต่อชั่วโมง

หลังจากที่สาย ไป 15 นาที และเสียค่าปรับให้ตำรวจไปแล้ว ในที่สุดก็ถึงโรงเรียน ลูกสาวก็วิ่งเข้าโรงเรียนโดยที่ไม่ได้สวัสดีลา พอมาถึงที่ทำงานสายไป 20 นาที ก็นึกได้ว่าาลืมกระเป๋าเอกสารไว้ที่บ้าน การทำงานก็เริ่มต้นด้วยความขรุกขระ เวลาผ่านไป ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงเวลาเลิกงาน เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าความสัมพันธ์ของคุณกับลูกสาวและภรรยามีรอยร้าวซะแล้ว

เกิดอะไรขึ้นล่ะ?...ก็เพราะสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาออกไปเมื่อเช้านี้ไงล่ะ

ทำไมคุณถีงมีวันอะไรที่เฮงซวยอย่างนี้?
ก กาแฟทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า
ข ลูกสาวทำให้เป็นอย่างนี้หรือ
ค ตำรวจทำหรือไม่
ง คุณทำให้มันเป็นเองไม่ใช่หรือ
คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ ง

คุณ ไม่สามารถควบคุมอระไรได้กับการที่กาแฟหก แต่ว่าสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาตอบสนองภายใน 5 วินาทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่ทำให้คุณเจอกับวันที่เฮงซวย

นี่เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น และ ควรจะเกิดขึ้น
กาแฟ หกใส่คุณ ลูกสาวกำลังหน้าเบ้จะร้องไห้ คุณพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่เป็นไรจ้า คราวหน้าหนูระวังๆหน่อยนะ” คุณเอื้อมมือไปหยิบกระดาษมาเช็ดแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป คุณลงมาชั้นล่างหลังจากเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่พร้อมกับหิ้วกระเป๋าเอกสารติดมา ด้วย ทันเวลาที่มองลอดหน้าต่างไป เห็นลูกกำลังจะไปขึ้นรถโรงเรียน เธอหันกลับมาโบกมือลาพร้อมสวัสดี คุณไปถึงที่ทำงานก่อนเวลา 5 นาทีแล้วมีเวลาทักทายคนโน้นคนนี้ด้วยอารมณ์ที่สดชื่น เจ้านายออกปากว่าคุณต้องมีอะไรดีแน่เลยวันนี้ถึงได้อารมณ์แจ่มใส
เห็นความแตกต่างไหมครับ?

เหตุการณ์จำลอง 2 แบบ ทั้งคู่เริ่มต้นเหมือนกัน แต่จบลงต่างกัน....ทำไมล่ะ?

เพราะสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาตอบสนองออกไปไงล่ะ
คุณ ไม่มีทางที่จะควบคุมเจ้า 10% ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวคุณได้ แต่อีก 90% น่ะขึ้นอยู่กับการแสดงปฎิกริยาตอบสนองของคุณออกไปยังไงล่ะ

ลองมา ดูวิธีต่างๆที่จะนำกฎ 90/10 ไปใช้ ถ้าหากมีใครบางคนพูดจาที่ทำให้คุณเสียหาย ก็อย่างทำตัวเป็นฟองน้ำล่ะ (รับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าตัว) จงปล่อยให้มันไหลไปซะเถอะ เหมือนน้ำที่ไม่ติดอยู่บนแผ่นแก้วนั่นแหละ จงอย่าปล่อยให้คำพูดกล่าวร้ายทำให้คุณประสาทเสียซะล่ะ

ตอบสนองให้ดี แล้วสิ่งทั้งหลายจะไม่มีวันทำให้คุณเจอกับวันเฮงซวยได้ การมีปฎิกริยาตอบสนองที่ผิดพลาด อาจทำให้เสียเพื่อน โดนไล่ออกจากงาน ประสาทเสีย และอื่นๆ

คุณมีปฎิกริยาตอบสนองอย่างไรหากมีคนขับรถปาด หน้ารถคุณ? คุณเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวหรือเปล่า เอามือทุบพวงมาลัยพร้อมด่าแม่มันในใจใช่ไหม? เพื่อนของผมคนหนึ่งเคยทำพวงมาลัยรถหลุด... คุณสถบ ตะโกนด่าหรือไม่? เลือดของคุณสูบฉีดปรีดจนเส้นเลือดบนหน้าผากโป่งเลยหรือเปล่า? คุณพยายามหรือแกล้งขับรถไปเฉี่ยวรถคันนั้นจริงๆหรือไม่? ใครสนล่ะ หากคุณไปทำงานสาย 10 วินาที ทำไมปล่อยให้รถเนี่ยมีบทบาทต่อการขับรถของคุณล่ะ

กรุณาจำกฎ 90/10 ให้ขึ้นใจ แล้วไม่ต้องไปสนใจมัน
ถ้าเขาแจ้งคุณว่าคุณถูกให้ออกจากงาน
ทำไม จะต้องหงุดหงิดและนอนไม่หลับด้วยล่ะ มันก็จะลงตัวเองล่ะ แทนที่จะเสียเวลาและกำลังไปกับการกังวลก็ให้ประหยัดพลังและเวลาเอาไว้ใช้หา งานใหม่ไม่ดีกว่าหรือ
เครื่องบินมาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดการ; มันก็อาจทำให้กำหนดการทั้งวันของคุณยุ่งเหยิงไปหมด ทำไมคุณถึงไปปล่อยอารมณ์บูดใส่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินล่ะ พวกเขาไม่ได้เป็นคนควบคุมให้เครื่องบินมาตรงเวลาได้ซะหน่อยทำไมไม่ใช้เวลาทำ ความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นๆล่ะ ทำไมจะต้องเครียดด้วย นั่นยิ่งทำให้สิ่งต่างๆแย่ลงไปกว่าเดิมอีก

ตอนนี้ พวกคุณรู้เรื่อง กฎ 90/10 แล้ว นำกฎนี้ไปใช้แล้วคุณจะประหลาดใจกับสิ่งดีๆที่ได้รับ ท่านจะไม่เสียอะไรเลย ถ้าท่านลองใช้กฎนี้ กฎ 90/10 นี่ยอดเยี่ยมากเลย มีคนจำนวนไม่มากที่รู้จักและนำกฎนี้ไปใช้


ผลล่ะเป็นอย่างไร?
คนหลายล้านที่มีปัญหาจากความเครียด การฟ้องร้อง ปัญหาต่างๆ และเรื่องกวนใจ เราทั้งหมดต้องเข้าใจและนำกฎ 90/10 ไปใช้

กฎนี้สามารถทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปได้
โดย steven covey


Steven covey เป็น Guru ด้านการจัดการที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ
โดยบทความของเขาจะเน้นหนักไปกับการพัฒนา EQ หรือทางฉลาดทางอารมณ์เป็นส่วนใหญ่
เขายังมีบทความเรื่อง 7 Habit of high efficiency ที่โด่งดัง

โดยบทความเรื่องทฤษฎี 90 : 10 นี้เขียนบรรยายถึง
การแบ่งลักษณะของสถานการณ์ต่างๆออกเป็น 90% - 10% โดยเขากล่าวว่า มี 90% ของสถานการณ์ต่างๆ
ที่เราสามารถคาดเดาและสามารถจัดการกับสถานการณ์นั้นๆได้ แต่ 10% ที่เหลือนั้นเป็นสถานการณ์ที่เราไม่สามารถ
จัดการได้ และโดยส่วนใหญ่สิ่งที่มีผลกับชีวิตเรามากก็คือ 10% ที่ว่าเนี่ยแหล่ะครับ
เพราะโดยทั่วไปแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้จะมีผลกระทบที่รุนแรงกว่าเสมอ

Covey ได้กล่าวถึงการรับมือกับ 10% นี้โดยการเข้าใจธรรมชาติของ 10% นี้
และหากใครได้อ่าน 7 Habit ก็จะพอเอานำเรื่องราวของ Habit ทั้ง 7 มา
ต่อเนื่องกับ 90:10 นี้ได้ โดย Habit แรกที่สำคัญมาก Covey จัดไว้เป็นอันดับ 1 เลยคือ
Be Proactive คือเราจะต้องคิดบวกครับ

เทคนิคการจูงใจลูกน้องให้ทำงาน


คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานของหัวหน้าเกิดขึ้นจากผลงานของลูกน้องที่ร่วมใจ ร่วมแรงทำให้แบบว่า ลูกน้องดัน หัวหน้าดึง ซึ่งหมายถึงลูกน้องมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้งานของหัวหน้าประสบผลสำเร็จ ส่วนหัวหน้าเองจะมีส่วนในการส่งเสริมสนับสนุนลูกน้องให้มีหน้าที่และตำแหน่ง งานที่ดีขึ้นพบว่ายังมีหัวหน้างานหลายต่อหลายคนที่หลงผิดคิดว่าผลงานที่เกิด ขึ้นนั้นมาจากตนเองเพียงฝ่ายเดียว ลูกน้องก็เป็นแค่ผู้ช่วยคนหนึ่งเท่านั้น เป็นหัวหน้าที่เน้นการบริหารงานของตนเป็นหลัก ไม่สนใจในการบริหารลูกน้องในทีม ....คุณรู้ไหมว่า

หัว หน้างานเหล่านั้นอาจพบปัญหาที่จะตามมานั่นก็คือ ลูกน้องขาดแรงจูงใจในการทำงานให้ ทำงานตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ไม่อุทิศและสละเวลาหากหัวหน้างานมีงานด่วนพิเศษ และปัญหาการที่ลูกน้องลาออกเพราะไม่มีสิ่งจูงใจในการทำงาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เองจะส่งผลย้อนกลับมายังหัวหน้าที่ต้องรับภาระหนัก แทนที่จะมีเวลาในการทำงานเชิงกลยุทธ์ การวางแผนงาน การพัฒนาระบบงานให้ดีขึ้น กลับต้องเอาเวลามาสะสางงานในรายละเอียด คอยแก้ไขปัญหาประจำวัน ต้องทำงานด่วนพิเศษหรือทำงานนอกเวลาทำงานซึ่งไม่มีลูกน้องอาสาที่จะช่วยหรือ เกี่ยงกันไม่อยากทำให้

ดังนั้นเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นผู้เป็นหัวหน้าเองจึงไม่ควรละเลย ที่จะใส่ใจในความคิดความรู้สึกของลูกน้อง การบริหารคนควบคู่ไปกับการบริหารงาน ซึ่งหน้าที่งานอย่างหนึ่งที่หัวหน้าพึงปฏิบัตินั่นก็คือ การหาวิธีจูงใจลูกน้องในการทำงาน ทั้งนี้การจูงใจลูกน้องให้ทำงานให้นั้นมิใช่เรื่องยากที่คุณเองในฐานะหัว หน้างานจะทำไม่ได้ ซึ่งดิฉันขอนำเสนอเทคนิคง่าย ๆ ในการจูงใจลูกน้องด้วยวิธี D-R-I-V-E ดังนี้

D - Development

การพัฒนาและฝึกอบรมเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถจูงใจลูกน้องให้ทำงานได้ คงไม่มีลูกน้องคนไหนอยากที่จะทำงานกับหัวหน้าที่ไม่เคยคิดที่จะส่งเสริมหรือ สนับสนุนให้พวกเค้ามีความรู้และความสามารถที่เพิ่มขึ้น ขอให้หัวหน้างานตระหนักไว้เสมอว่า ไม่ต้องกลัวลูกน้องจะเก่งหรือดีกว่าตนเอง แบบว่ากลัวลูกน้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ จนเป็นเหตุให้หัวหน้างานไม่สนใจที่จะพัฒนาลูกน้องเลย ทั้งนี้การพัฒนาลูกน้องนั้นมีหลากหลายวิธีที่หัวหน้างานสามารถทำได้ เช่น

*การสอนงาน (Coaching) : เพื่อให้ลูกน้องเข้าใจวิธีการ และขอบเขตหน้าที่งานที่ต้องรับผิดชอบ
*การส่งลูกน้องเข้าฝึกอบรมกับหน่วยงานภายนอก (In House and Public Training) : เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น
*การให้คำปรึกษาแนะนำ (Consulting) : เพื่อช่วยลูกน้องในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
*การโยกย้ายสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation) : เพื่อส่งเสริมให้ลูกน้องเกิดทักษะที่หลากหลาย (Multi-Skill) มากขึ้น

R - Relation

การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับและลูกน้องเป็นสิ่งที่หัวหน้างานไม่ควรเพิกเฉย เพราะสัมพันธภาพที่ดีจะทำให้ลูกน้องอุทิศและตั้งใจในการทำงานให้กับคุณอย่าง จริงใจมิใช่การบังคับ ทั้งนี้วิธีการในการเสริมสร้างให้คุณเองมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกน้อง เช่น การพาลูกน้องไปเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นเนื่องในโอกาสพิเศษซึ่งอาจจะ เป็นเลี้ยงวันเกิดเลี้ยงลูกน้องกรณีที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง.... หรือการเริ่มต้นทักทายลูกน้องก่อน ....หรือการถามเรื่องอื่น ๆ กับลูกน้องบ้างที่ไม่ใช่เรื่องงาน ....หรือการซื้อของฝากหรือของเล็ก ๆ น้อย ๆให้ลูกน้องซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวัน/โอกาสพิเศษ ....หรือการรับฟังและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาของลูกน้องที่ไม่ใช่ปัญหาจาก การทำงาน ....หรือการสร้างอารมณ์ขันกับลูกน้องการสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกับลูก น้องบ้าง

I - Individual Motivation

ลูกน้องแต่ละคนมีหลากหลายสไตล์ บางคนเงียบไม่ชอบแสดงออก บางคนชอบเอะอะโวยวาย บางคนคิดมาก บางคนขี้น้อยใจ ดังนั้นในฐานะของหัวหน้างานจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ลูกน้องแต่ ละคนว่าพวกเค้ามีนิสัย บุคลิกลักษณะและความต้องการอย่างไร แต่ละคนจะมีแบบฉบับเฉพาะที่แตกต่างกันไป การจูงใจลูกน้องจึงย่อมต้องแตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัยของแต่ละคน จงอย่าใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งกับลูกน้องหลาย ๆ คนที่มีความต่างกัน เช่น หากพบว่าลูกน้องของตนขอบที่จะแสดงความคิดสร้างสรรค์หัวหน้าควรจะมอบหมายงาน ที่ส่งเสริมให้พวกเค้าได้ใช้ความคิดและสามารถนำเสนอแนวคิดต่างๆ กับคุณได้ หรือหากลูกน้องของคุณเป็นคนชอบโวยวายเมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกับคุณคุณเอง ในฐานะหัวหน้างานควรจะสงบนิ่งและพูดคุยกับลูกน้องอย่างมีเหตุผลเพื่อจูงใจ ให้ลูกน้องเห็นด้วยกับคุณ

V - Verbal Communication

คุณรู้ไหมว่าคำพูดเปรียบเสมือนดาบสองคมที่ส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบกับตัว คุณเองในฐานะของหัวหน้างาน บางครั้งการไม่พูดหรือนิ่งเฉย จะดูดีกว่าการพูดออกไป โดยเฉพาะคำพูดในทางลบที่อยากให้คุณจงหลีกเลี่ยง ได้แก่ คำพูดที่ประชดประชันเหน็บแนม คำพูดที่ออกคำสั่งโดยไม่มีเหตุผลคำพูดดูถูกความสามารถของลูกน้องคำพูดที่ปัด ความรับผิดชอบหรือโยนความผิดให้กับลูกน้อง คำพูดที่นินทาลูกน้องลับหลังคำต่อว่าลูกน้องต่อหน้าเพื่อนร่วมงานหรือต่อ หน้าผู้อื่น จงพยายามเลือกใช้คำพูดทางบวกที่สร้างสรรค์และจูงใจลูกน้องให้พวกเค้าอยากทำ งานให้กับคุณ เช่น พูดชดเชยเมื่อลูกน้องทำงานสำเร็จพูดให้กำลังใจเมื่อลูกน้องวิตกกังวลหรือ เผชิญปัญหาพูดกล่าวแสดงความขอบคุณเมื่อลูกน้องทำงานให้พูดเสริมกำลังใจถึง ความเชื่อมั่นว่าลูกน้องสามารถทำงานนั้น ๆ ได้สำเร็จ

E - Environment Arrangement

สภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถจูงใจลูกน้องให้อยากทำงาน เพื่อมิให้ลูกน้องรู้สึกจำเจหรือเบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมแบบเดิม ๆ พบว่ามีหลากหลายวิธีที่คุณสามารถเลือกใช้เพื่อสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศที่ดี ในการทำงาน เช่น การปรับเปลี่ยนรูปโฉมออฟฟิศใหม่ ไม่ว่าเป็นการจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ใหม่....หรือการจัดหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำงานต่าง ๆ ให้พร้อมในการทำงาน....หรือการอนุญาตให้ลูกน้องเปิดเพลงเบา ๆ ฟังเพื่อคลายความตึงเครียดในการทำงาน....หรือการสร้างทีมงานให้เป็นทีมแห่ง การเรียนรู้เพื่อให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น การจัดตั้งทีมงานนักอ่านขึ้นโดยการมอบหมายให้ลูกน้องอ่านหนังสือที่เกี่ยว ข้องกับงานของตนเองและนำมาเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง ... หรือการจัดประชุมร่วมกันอาจเป็นเดือนละครั้งหรือสองครั้งตามความเหมาะสม เพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงานเป็นทีมร่วมกันทั้งนี้คุณอาจใช้เวทีของการ ประชุมเพื่อแจ้งให้พนักงานรับทราบถึงนโยบายของบริษัทภารกิจหน้าที่ของทีมงาน และการให้ลูกน้องมีส่วนร่วมเสนอไอเดียใหม่ ๆเพื่อปรับปรุงระบบงานให้ดีขึ้น

ดังนั้นขอให้หัวหน้างานเริ่มสำรวจตัวเองนับแต่ตอนนี้ว่าได้ใส่ใจที่จะหาวิธี จูงใจลูกน้องให้ทำงานมากน้อยแค่ไหน หัวหน้างานที่มีทั้งศาสตร์ในการบริหารคนและศาสตร์ในการบริหารงานนั้นมักจะ เป็นหัวหน้างานที่ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับการยอมรับและความเคารพศรัทธาจากลูกน้องด้วยความจริงใจ

ที่มา : อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์

http://www.hrtothai.com

สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้นำ 3 เรื่อง

สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้นำ 3 เรื่อง

1. ผู้นำแห่งความสำเร็จ

1. ตัดสินใจเด็ดขาด รู้จักตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ตัดสินใจเร็ว ถูกต้องและมีเหตุผล
2. มีเป้าหมายชัดเจน ต้องมีจุดยืน มีอุดมการณ์หรือจุดหมายที่ชัดเจน ทำให้สามารถมุ่งหน้าไปยังจุดๆ นั้นได้ง่ายและเร็วขึ้น
3. รู้จักใช้คน Put he right man in the right job. ต้องรู้จักลูกน้องของตนว่าใครเหมาะที่จะทำอะไร งานไหนควรให้ใครรับผิดชอบ คนไหนเก่งอะไร มีข้อบกพร่องด้านใดอยู่บ้าง ก็พยายามแก้ไขให้เขาสมบูรณ์แบบขึ้น ใครขาดใครเกินส่วนไหน ก็ปรับแต่งให้ลงตัว
4. ซื่อสัตย์ มีความซื่อสัตย์ต่อองค์กร บริหารค่าใช้จ่ายอย่างเป็นธรรมถูกต้องไม่เอารัดเอาเปรียบ
5. สนับสนุนลูกน้อง ต้องเปิดโอกาสให้ลูกน้องพิสูจน์ความสามารถ ไม่แย่งผลงานและโอกาสในการสร้างผลงานของลูกน้องมาเป็นผลงานของตัวเอง ผลักดัน สนับสนุน และสร้างเสริมความสามารถให้ลูกน้องเก่งขึ้น
6. มีมนุษยสัมพันธ์ดี ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดีทั้งในและนอกองค์กร รู้จักยืดหยุ่น มีอารมณ์ขัน มีการพบปะสังสรรค์กันนอกเวลางานบ้าง เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
7. รู้จักรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง ต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง ไม่ปิดกั้นความคิดของลูกน้อง
8. บุคลิกภาพต้องดีเยี่ยม ควรเป็นผู้มีบุคลิกดี แต่งกายเหมาะสมกับรูปร่างหรือฐานะทางสังคม ต้องดูสะอาดสะอ้าน ดูสุภาพ มีบุคลิกดึงดูดใจ น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
9. มีศิลปะในการเจรจา ต้องมีน้ำเสียงนุ่มนวล พูดอย่างไตร่ตรอง รู้คิด รู้สถานการณ์ รู้กาลเทศะ มีการเตรียมการมาก่อน พูดอย่างสั้นไม่สับสน กระชับ ตรงประเด็น จริงใจ เป็นธรรมชาติ ใช้เสียงที่ดังพอประมาณ มีเสียงหนักเบาเพื่อเน้นความสำคัญของสิ่งที่พูด และไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ
10. มีความเป็นผู้นำ ต้องมีความคิดที่เฉียบคม การลงมือที่เฉียบขาด และมีการประสานงานที่เฉียบแหลม ปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง เข้าใจองค์กรและเห็นใจผู้ร่วมงาน ประสานประโยชน์ขององค์กรและผู้ร่วมงานได้ดี ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากผู้ร่วมงานในทุกระดับ

2. ภาวะผู้นำกับการเป็นผู้บริหารที่ดี

ประเภทของผู้นำ
- ผู้นำแบบเผด็จการ เป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดในตัวเอง ถือเรื่องระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ข้อบังคับเป็นหลัก ในการดำเนินงานการตัดสินใจต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
- ผู้นำแบบประชาธิปไตย ให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น สิทธิในการเรียกร้อง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วย
- ผู้นำแบบตามสบาย เป็นผู้นำที่ไปเรื่อยๆ มีความอ่อนไหวไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

การใช้อำนาจของผู้บริหาร แบ่งได้ดังนี้

1. การใช้อำนาจเด็ดขาด อาจจะเป็นในวงการทหารหรือตำรวจ จะต้องมีความเด็ดขาดในการสั่งการ
2. การใช้อำนาจอย่างมีศิลปะ ผู้นำโดยทั่วไปเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนรวมไปถึงประสบการณ์ในการบังคับบัญชาคน หากการทำงานโดยเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วผลงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป
3. การใช้อำนาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ ผู้บริหารเปิดใจกว้างย่อมได้รับการยอมรับของผู้ร่วมงานด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในลักษณะการใช้อำนาจด้วย วิธีการปรึกษาหารือ
4. การใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วม ถือเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากผู้บริหารเปิดใจกว้าง มีประสิทธิภาพสูงสุดจะขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน การใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม รวมถึงลักษณะของการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ

หน้าที่ของผู้นำ แบ่งออกได้ดังนี้

1. ลักษณะของการควบคุม อาจ จะใช้การควบคุมด้วยระบบเอกสาร ระบบของงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน หรือเป็นการควบคุมในระบบด้วยตัวของมันเองอย่างอัตโนมัติ
2. ลักษณะของการตรวจตรา เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้นำหรือผู้บริหารที่จะต้องติดตามความเคลื่อนไหว หรือผลการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถแก้ไขในเหตุการณ์นั้นๆ ได้ทัน
3. ลักษณะของการประสานงาน
4. ลักษณะของการวินิจฉัยสั่งการ ผู้นำที่ดีจะต้องวินิจฉัยสั่งการมีความชัดเจน รู้จักการใช้คนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
5. ลักษณะของการโน้มน้าวให้ทำงาน ชักชวนให้สมาชิกมีความสนใจในการปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจและตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากที่สุด
6. ลักษณะของการประเมินผลงาน พิจารณาความดีความชอบตลอดระยะเวลาการทำงานอย่างถูกต้องและเป็นธรรม เป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน ควรประเมินเป็นระยะ ๆ และสามารถแจ้งผลให้ผู้ที่ถูกประเมินได้ทราบเพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไป

คุณสมบัติที่ดีของผู้นำ

1. มีความรู้ ความสามารถ การใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆให้สำเร็จลุล่วงไปได้
2. เป็นผู้มีสังคมดี มีอารมณ์มั่นคง มีวุฒิภาวะ มีความเชื่อมั่นในตนเอง
3. เป็นผู้ที่มีแรงกระตุ้นภายใน คือมีจิตสำนึกเกิดขึ้นในตัวของผู้นำ เป็นแรงกระตุ้นที่จะโน้มน้าวให้ผู้ปฏิบัติงานมีความปรารถนาที่จะทำงานให้ เกิดความสำเร็จ
4. เป็นผู้ที่มีทัศนคติที่ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเองและลูกน้อง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน มองโลกในแง่ดี

ลักษณะของผู้นำที่จะทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพสูงสุด

1. ต้องเป็นนักเผด็จการ สามารถจะสั่งการได้อย่างเด็ดขาด
2. ต้องเป็นนักพัฒนา สามารถสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา
3. ต้องเป็นนักบริหาร ใช้การทำงานด้วยวิธีใหม่ ๆ เปิดโอกาสให้สมาชิกได้ร่วมแสดงความคิดเห็น
4. ต้องเป็นนักเผด็จการอย่างมีศิลปะ เป็นนักพูดที่เฉลียวฉลาด พูดชักชวนให้เกิดการทำงานด้วยความเต็มใจ มีการเสนอแนะและหว่านล้อม ให้เห็นคล้อยตาม

3. ความสำคัญของภาวะผู้นำต่อความสำเร็จขององค์กร

ความสำคัญของภาวะผู้นำต่อความสำเร็จขององค์กร
ความสำคัญของภาวะผู้นำต่อความสำเร็จขององค์กร และการสร้างองค์กรที่มีความสำเร็จ แบบยั่งยืน (Sustained Superior Performance) และเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1. บุคลากรทุกระดับในองค์กรมีศักยภาพ
2. ผู้นำองค์กรมีศักยภาพ
3. องค์กรมีศักยภาพในการปฏิบัติงานให้เกิดผล

วัฒนธรรมองค์กร มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ด้าน คือ คุณลักษณะ (Characters) และความรู้ความสามารถ (Competencies) ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมองค์กร ที่จะทำให้องค์กรมีความเข้มแข็งและประสบความความสำเร็จ เพราะฉะนั้น หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของผู้นำองค์กรก็คือ ต้องพัฒนาคุณลักษณะและความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรอย่างต่อเนื่อง

ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้นำที่มีวุฒิภาวะที่ดี ซึ่งวุฒิภาวะของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1. Dependence คือ ต้องพึ่งพาคนอื่น ซึ่งจะไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
2. Independence คือ มีความมั่นใจในตนเอง มีจุดยืน มั่นคง
3. Interdependence คือ สามารถพึ่งพาตนเองและนำคนอื่นได้ เป็นวุฒิภาวะที่ควรมีในตัวของผู้นำที่ดี

การนำพาตนเองไปสู่การเป็นผู้นำที่มีวุฒิภาวะในระดับ Interdependence ได้นั้น จะต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองให้มี 7 อุปนิสัย เพื่อการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ คือ

1. Be Proactive : รับผิดชอบในสิ่งที่เลือกและผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำ โดยไม่ปัดความรับผิดชอบ
2. Begin with the End in Mind : มีวิสัยทัศน์ รู้ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไร มีเป้าหมายที่ชัดเจน
3. Put First Things First :ทำแต่สิ่งที่สำคัญและใช้เวลาให้คุ้มค่าเต็มที่ มีจุดมุ่งหมาย
4. Think Win-Win : ใจกว้าง ไม่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวยินดีต่อ ความสำเร็จของผู้อื่น
5. Seek First to Understand, Then to be Understood : เข้าใจซึ่งกันและกัน รับฟังความต้องการและข้อแนะนำของผู้อื่น
6. Synergize : เกิดพลังร่วม เป็น team work ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
7. Sharpen the Saw : พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งกาย วาจา และใจ

บทบาทของผู้นำที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ

1. ผู้นำต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อให้บุคลากรในองค์กรเกิดความศรัทธา และต้องการทำตามผู้นำ
2. ผู้นำต้องให้วิสัยทัศน์และทิศทางที่ชัดเจนขององค์กร และสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจ
3. ผู้นำต้องทำให้สิ่งต่างๆในองค์กรมีความสอดคล้อง มีระบบสนับสนุนที่ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ ภายในองค์กรสามารถเกิดขึ้นได้
4. ผู้นำต้องรู้จัก empower บุคลากรในองค์กร เนื่องจากความสำเร็จขององค์กรนั้นจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือในการปฏิบัติงานของทุกคน

แบบฉบับของลูกน้องหลากหลายสไตล์

คุณคิดว่าการเป็นหัวหน้างานนั้นยากหรือไม่ และสิ่งที่คุณเองคิดว่ายากที่สุดคือเรื่องอะไร การบริหารจัดการงานของตนเอง หรือการบริหารจัดการลูกน้องของคุณ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นหัวหน้างานหลายต่อหลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การปกครองลูกน้องนั้นค่อนข้างยาก ลูกน้องแต่ละคนจะมีบุคลิกลักษณะหรือนิสัยที่หลากหลายรูปแบบแตกต่างกัน

ดังนั้นหัวหน้างานจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคนิค และวิธีการที่ต่างกันในการบริหารและปกครองลูกน้อง ซึ่งหัวหน้างานจะต้องทำความเข้าใจถึงแบบฉบับของลูกน้องแต่ละคน ทั้งนี้ขอสรุปประเภทของลูกน้องที่หัวหน้างานอาจจะต้องเจอะเจอ ดังต่อไปนี้

ลูกน้องหัวดื้อ
ลูก น้องจำพวกนี้ มักจะเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรืองานที่หัวหน้างานมอบหมาย เป็นพวกที่ไม่เชื่อฟัง อยากลองดีกับหัวหน้างาน โดยมักจะอ้างถึงเหตุผลมากมายที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของหัวหน้างาน และเหตุที่ลูกน้องแสดงกิริยาดื้อดึงต่อหัวหน้างาน เป็นเพราะขาดความศรัทธา การไม่ยอมรับนับถือหัวหน้างานคนนั้นว่าเก่งหรือมีบารมีมากกว่า หากหัวหน้างานต้องการบริหารลูกน้องหัวดื้อให้ได้นั้นจำเป็นจะต้องเผด็จการ บ้างในบางสถานการณ์ อีกทั้งต้องพยายามสร้างผลงานอย่างมากให้ลูกน้องยอมรับ เพราะการยอมรับจะนำมาซึ่งความศรัทธา และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งหรืองานที่หัวหน้างานมอบหมายได้ทุกเมื่อ

ลูกน้องอายุงานมากกว่า
มี หัวหน้างานหลายคนที่ยังกังวลว่าจะบริหารหรือปกครองลูกน้องที่อายุงานมากกว่า ได้อย่างไร หากคุณโชคดีหน่อย เจอลูกน้องที่มีอายุงานมากกว่าและยอมรับนับถือในตัวคุณ คุณก็จะบริหารลูกน้องจำพวกนั้นได้ไม่ยาก แต่หากคุณโชคร้ายต้องควบคุมลูกน้องที่มีอายุงานมากกว่าและไม่ยอมรับในตัวคุณ ชอบนินทาและนำเรื่องของหัวหน้างานไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ ในฐานะของหัวหน้างานคุณไม่ควรให้เหตุการณ์เหล่านี้ลอยนวล ก่อนอื่นคุณจะต้องให้ความเคารพลูกน้องคนนั้นในฐานะที่มีอายุ (ตัว) มากกว่า โดยการเรียกพวกเค้าว่า “ พี่ ” หรือเรียกว่า “ คุณ ” ก็ได้ และเพื่อให้พวกเค้ายอมรับนับถือในตัวคุณ คุณเองจะต้องเรียนรู้และเข้าใจในขอบเขตงานให้มากกว่าลูกน้องของคุณ ทั้งนี้คุณจะต้องแสดงทักษะบางอย่างที่มีอยู่ในตัวคุณและมีมากกว่าลูกน้อง พยายามแสดงออกมาให้ลูกน้องเห็นและยอมรับในตัวคุณให้ได้

ลูกน้องที่มีผลงานไม่โดนใจคุณ
หัว หน้างานเกือบทุกคนที่อยากจะให้ลูกน้องทำงานให้ถูกต้องตรงกับความต้องการหรือ ความคาดหวังของตน เพราะผลงานของลูกน้องจะเป็นสิ่งผลักดันให้หัวหน้างานมีผลงานเป็นที่ถูกอกถูก ใจจากผู้บริหารกลุ่มหรือทีมงาน แต่คุณเองคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอะเจอกับลูกน้องที่มีผลงานย่ำแย่ หรือต้องปรับปรุงอย่างมาก แล้วคุณจะทำอย่างไร....คุณไม่ควรตีตราลูกน้องจำพวกนี้ โดยไม่ยอมพัฒนาหรือละเลยที่ไม่มอบหมายงานให้ทำ แต่คุณควรใส่ใจกับลูกน้องที่ว่านี้ไว้ให้มาก พยายามหาทางที่จะพัฒนาพวกเค้า พยายามหาเหตุผลที่ทำให้ลูกน้องมีผลงานที่ไม่โดนใจ นั่นอาจเป็นเพราะการเบื่อหน่ายงาน การไม่มีสิ่งจูงใจให้รู้สึกอยากทำงาน และคุณเองควรจะพยายามหาวิธีจูงใจลูกน้องเหล่านี้ให้รู้สึกอยากทำงานและอยาก พัฒนาตนเองให้มีผลงานที่ดีขึ้น

ลูกน้องขาดความมั่นใจ
มีลูกน้องหลายคนที่วิตกกังวลสูง กลัวไปหมด รู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยมีความมั่นใจในการทำงาน ชอบทำงานประจำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องการทำงานที่ท้าทายเกินไป เพราะคิดว่าตนเองไม่สามารถทำงานชิ้นนั้นให้สำเร็จได้ ส่วนใหญ่มักจะอ้างถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่มีความสามารถมากกว่าตนเอง ดังนั้นในฐานะของหัวหน้างาน คุณเองจะต้องพยายามพูดจูงใจให้ลูกน้องมีกำลังใจ พยายามให้โอกาสกับลูกน้องประเภทที่ว่านี้ที่จะรับผิดชอบงานที่ท้าทายมากขึ้น ขณะเดียวกันคุณต้องยกย่องชมเชยพวกเค้าหากสามารถทำงานที่ท้าทายนั้นได้สำเร็จ แต่หากไม่สำเร็จตามที่ต้องการหรือคาดหวังไว้คุณเองก็ไม่ควรว่ากล่าวหรือพูดจาบั่นทอนกำลังใจลูกน้อง เพราะยิ่งจะส่งผลให้พวกเค้าขาดความมั่นใจมากขึ้น คุณควรชี้แนะและเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกน้องประเภทนี้ เป็นกำลังใจและให้โอกาสแก้ตัวใหม่

ลูกน้องเอาแต่พูด
คุณเคยเจอะเจอลูกน้องประเภทที่ว่ารับปากไปหมดซะทุกเรื่อง ทำงานนั้นได้หรือทำงานนั้นไม่ได้ก็รับปากว่าทำได้ไว้ก่อนเสมอ หรือลูกน้องบางคนชอบเสนอโครงการและกิจกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ แบบว่าชอบเสนอเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที แต่ไม่เคยเห็นนำไปปฏิบัติได้จนประสพผลสำเร็จซะที ดังนั้นการที่จะบริหารลูกน้องที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ คุณต้องสื่อสารกับลูกน้องประเภทที่ว่านี้โดยการแจ้งถึงผลงานที่คุณคาดหวังและต้องการให้เกิดขึ้น พยายามสร้างข้อผูกพันกับลูกน้องถึงผลงานที่คุณอยากจะเห็น กำหนดวันเวลาที่จะต้องนำส่งงานแต่ละชิ้น คุณเองยังไม่ควรไว้วางใจลูกน้องกลุ่มนี้ อย่ารอให้ถึงวันกำหนดส่งงาน แล้วมาบอกว่าทำงานไม่ทัน ทำงานชิ้นนั้นไม่ได้ ดังนั้นในช่วงระหว่างการทำงานนั้นคุณควรติดตามผลการทำงานของลูกน้อง หากมีปัญหาที่ลูกน้องทำไม่ได้คุณจะได้เสนอแนะและหาวิธีการในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ร่วมกัน

ลูกน้องที่คิดว่าตนเอง “ แน่ ”
ลูก น้องพวกนี้มักจะชอบดูถูกคนอื่น แม้กระทั่งหัวหน้างานอาจยังไม่ละเว้น เป็นลูกน้องประเภทที่ คิดว่า ตนเองมีความรู้หรือทักษะบางอย่างเหนือกว่า เช่น จบปริญญาโทได้รับเกียรตินิยม มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ มีทักษะการนำเสนองาน ซึ่งเป็นทักษะที่มีมากกว่าทุกคนในหน่วยงานเดียวกันจึงทำให้ตนเองรู้สึก ภาคภูมิใจในความสามารถดังกล่าว คิดว่าตนเองเจ๋งแล้ว ไม่ต้องเกรงใจใคร แสดงพฤติกรรมข่มคนอื่น มักจะพูดจาโอ้อวดว่าตนเองเป็นคนมีความสามารถดีและทุกคนยอมรับ ดังนั้นคุณเองในฐานะหัวหน้างานไม่ต้องหนักใจ แต่คุณควรแสดงฝีมือและความสามารถแบบสุด ๆ เพื่อให้ลูกน้องจำพวกนี้ยอมรับคุณให้ได้ อีกทั้งคุณต้องมีความกล้าพอที่จะปฏิเสธหรือไม่ยอมรับไอเดียของลูกน้องประเภท ที่ว่านี้ โดยการชี้แจงถึงหลักเหตุและผล – ไม่จำเป็นที่คนเก่ง จะเสนอไอเดียที่ถูกต้องเสมอ

ลูกน้องช่างประจบ
การ เป็นหัวหน้างานนั้นต้องถือทางสายกลาง อย่าเอนอียงหรือเห็นดีเห็นงามกับลูกน้องที่ชอบประจบประแจง โดยวัน ๆ ไม่ค่อยจะทำงานอะไร คอยหาวิธีการเอาใจหรือปรนนิบัติหัวหน้างาน เป็นพวกที่พูดจาปากหวานก้นเปรี้ยว อยู่ต่อหน้าหัวหน้างานพูดจาดีมาก สนับสนุนงานและโครงการที่หัวหน้าเสนอ แต่ลับหลังพูดจาให้ร้ายหัวหน้างาน นินทาหัวหน้างานคนนั้นสารพัด ดังนั้นคุณเองในฐานะหัวหน้างานคงจะต้องแยกแยะให้ออกว่าใครทำงานดีหรือไม่ดี อย่าพิจารณาประเมินผลงานหรือเลื่อนตำแหน่งงานจากความชอบหรือไม่ชอบในตัวลูก น้อง เห็นว่าลูกน้องคนนี้ดีเพราะเอาใจเราสารพัด และประเมินให้ A หมดในทุก ๆ ปัจจัยประเมินผล หรือสนับสนุนให้ลูกน้องช่างประจบได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น หากพวกเค้ามีความสามารถที่ดีพร้อมที่จะรับตำแหน่งงานที่สูงขึ้นก็แล้วไป แต่หากพวกเค้าเลื่อนตำแหน่งงานเหตุเพราะเป็นคนเอาใจนายเก่งนั้น คุณอาจจะโชคร้ายเพราะต้องหนักใจกับการบริหารงานของลูกน้องกลุ่มนี้

การบริหารและปกครองลูกน้องหลากหลายสไตล์นั้นเป็นสิ่งท้าทายสำหรับหัวหน้างาน อย่าเพิ่งหนักใจหากคุณไม่สามารถบริหารและควบคุมลูกน้องบางประเภทได้ เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาค่ะ แต่คุณเองในฐานะหัวหน้างานต้องเข้าใจธรรมชาติของลูกน้อง เข้าใจเหตุผลในการแสดงออก แล้วสักวันหนึ่งคุณจะสามารถบริหารลูกน้องกลุ่มนี้ได้จากการยอมรับนับถือในตัวคุณ

# บทความโดย : อาภรณ์_ภู่วิทยพันธุ์

มาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานไทยในทศวรรษหน้า

มาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานไทยในทศวรรษหน้า
โดย วรรณา อรัญกุล
บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยเรื่อง “มาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานไทยในทศวรรษหน้า” มีวัตถุ ประสงค์เพื่อศึกษาถึงสถานการณ์และสาเหตุของปัญหาคนขอทานไทยในสังคมไทย ปัจจุบัน ตลอดจนแสวงหามาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานไทยที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมสอด คล้องกับสภาพสงคมไทยในทศวรรษหน้าด้วยเทคนิคเดลฟาย (Delpfi Technique) โดยการใช้แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้างเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายคนขอ ทานที่อยู่รับการสงเคราะห์ ในสถานสงเคราะห์ชายธัญญบุรี และสถานสงเคราะห์หญิงธัญญบุรี รวมทั้งคนขอทานที่กำลังขอทานตามที่สาธารณะต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 30 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลปรากฏการณ์ปัญหาคนขอทานไทยในปัจจุบัน จัดทำเป็นแบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลแนวทางการจัดการปัญหาดังกล่าวจากผู้ เชี่ยวชาญ จำนวน 21 คน ต่อไป

ผล การเก็บรวบรวมข้อมูลคนขอทาน ปรากฏว่า สาเหตุหลักที่ผลักดันให้กระทำการขอทานเกิดจากความยากจน และระดับการศึกษาต่ำมากที่สุด รองลงมาคือ สุขภาพไม่ดี ปัญหาครอบครัว และติดสารเสติด เป็นต้น เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ทั้งนี้ คนขอทานได้กระทำการขอทานมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และมักจะขอโดยลำพังอิสระมากกว่าขอภายใต้ผู้อยู่เบื้องหลัง ในระหว่างการขอทาน คนขอทานได้ประสบปัญหาต่างๆ เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ถูกไล่ที่ ถูกขโมยเงินจากอันธพาล ถูก ขบวนการขอทานโกงเงิน ถูกคนตำหนิ ก่อกวน ถูกคนเดินชน และใช้เสียงดัง เป็นต้น ซึ่งคนขอทานจะใช้รูปแบบการแก้ไขปัญหาแบบประนีประนอม หลีกเลี่ยงจากปัญหา อาทิเช่น ย้ายสถานที่ขอทานใหม่ ลาออกจากขบวนการขอทาน หรือซุกซ่อนเงินไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น ส่วนใหญ่ คนขอทานเคยถูกควบคุมตัวเข้ารับการสงเคราะห์มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป และในระหว่างอยู่รับการสงเคราะห์ คนขอทานส่วนมากไม่เคยได้รับการฝึกอาชีพใด ๆ สำหรับคนขอทานที่รับการฝึกอาชีพ ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพหัตถกรรมสูงสุด ทั้งนี้ ในอนาคต คนขอทานมีความคาดหวังจะประกอบอาชีพค้าขายมากที่สุด รองลงมาคือ ขอทาน ลูกจ้างประมง ปลูกห้องให้เช่า นวดแผนโบราณ เป็นต้น เรียงตามลำดับ และมีคนขอทานหลายรายยังไม่รู้ว่าจะประกอบอาชีพใด ทั้งนี้ คนขอทานจึงมีความประสงค์ให้ช่วเหลือด้านทุนประกอบอาชีพ ค่าครองชีพ และฝึกอาชีพ เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย

ผลการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานไทย ประกอบด้วย มาตรการทั้ง 4 ด้านควบคู่กันไป ดังนี้

ด้าน การแก้ไขปัญหา ได้แก่ ควรบัญญัติกฎหมายให้การสงเคราะห์แก่คนขอทาน ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างแท้จริง และคนขอทานอาชีพในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในสังคม ควรบัญญัติโทษทางอาญาแก่ผู้อยู่เบื้องหลังการขอทาน ควรปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพในสถานสงเคราะห์คนขอทาน ควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมวางแผนแก้ไขปัญหาคนขอทาน ตลอดจน ควรมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมปราบปรามคนขอทาน

ด้า การป้องกันปัญหา ได้แก่ ควรกำหนดนโยบายและจัดสวัสดิการสังคมในรูปแบบต่างๆ แก่ผู้ด้อยโอกาสอย่างเพียงพอและทั่วถึง ควรให้สถาบันโรงเรียน ศาสนามีบทบาทขัดเกลาทางสังคมแก่ประชาชนให้ประพฤติตนเป็นพลเมืองดี ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายของปัญหาคนขอทาน ควรติดต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือคนขอทาน และควรศึกษาวิจัยหมู่บ้านที่มีคนอพยพเดินทางไปขอทานเป็นจำนวนมาก

ด้าน การดำรงชีวิตในสภาพปกติ ได้แก่ ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนที่มีต่อคนพิการ และผู้ถือประโยชน์จากคนขอทาน ให้ยอมรับแป็นสมาชิกหนึ่งของสังคม

ด้าน การพัฒนาสังคม ได้แก่ ควรเสริมสร้างแนวคิดประชาสังคม ควรกระจายอำนาจการตัดสินใจให้แก่ชุมชนสามารถปกครองตนเองได้โดยอิสระ ควรมุ่งเน้นนโยบายเศรษฐกิจแบบพอเพียง และควรขยายโอกาสทางการศึกษาภาคบังคับออกไป

สำหรับ ข้อเสนอแนะของผู้ศึกษาต่อมาตรการการจัดการปัญหาคนขอทานเพิ่มเติม ดังนี้ด้านการแก้ไขปัญหา ได้แก่ ควรบัญญัติกฎหมายลงโทษปรับเงินควบคู่ไปกับการสงเคราะห์แก่คนขอทานอาชีพ ควรประสานนโยบาย แผนงานระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง

เพื่อ แก้ไขปัญหาคนขอทานอย่างจริงจังและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปราบ ปรามคนขอทานอย่างเคร่งครัด ควรเปิดโอกาสให้วณิพกสามารถกระทำการขอทานได้อย่างเสรี ด้าน การป้องกันปัญหา ได้แก่ ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงบริการสวัสดิการสังคมต่างๆ ควรกระจายบริการประกันสังคม ไปสู่ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระต่างๆ ควรปรับปรุงพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 โดย เพิ่มบทลงโทษแก่สถานประกอบการต่างๆ ในกรณีไม่รับคนพิการเข้าทำงานและไม่จ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพพิการ แทน และควรให้ความช่วยเหลือคนเร่ร่อน อาทิเช่น ที่พัก การให้ความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ เป็นต้น ด้านการพัฒนาสังคม ได้แก่ ควรจัดการศึกษานอกระบบโรงเรียนกระจายทั่วประเทศ ควรส่งเสริมกาจัดตั้งกลุ่มหรือองค์กรประชาชนขึ้นในชุมชน และควรกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน

คนเก็บขยะ อาชีพทรงคุณค่าในภาวะโลกร้อน

ขยะมูลฝอยล้นเมือง เป็นสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองทั่วโลก ประเทศไทยเองต้องแบกรับภาระการจัดการ

ขยะ มูลฝอยเป็นภารกิจสำคัญในการจัดการด้านสุขาภิบาลของชุมชนและตามเมืองใหญ่ ต่างๆ การกำจัดขยะมูลฝอยไม่ว่ารูปแบบใดต่างบริโภคพลังงานซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการ เพิ่มปัญหาโลกร้อนแทบทั้งสิ้น

ขยะมูลฝอยจัดเป็นประเภทได้ดังนี้ 
1.เศษอาหารและพืชผักที่เหลือจากการรับประทานและการประกอบอาหาร 
2.เศษแก้วแตก กระเบื้องแตก เศษวัสดุก่อสร้าง เช่น ไม้ อิฐ หิน และอื่นๆ 
3.วัสดุชิ้นใหญ่ เช่น รถจักรยานพัง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้การไม่ได้ ฯลฯ 
4.วัสดุที่มีสารพิษ เช่น หลอดไฟ หลอดนีออน แบตเตอรี่ที่ใช้การไม่ได้ 
5.วัสดุติดเชื้อต่างๆ เช่น ขยะมูลฝอยที่เก็บได้จากโรงพยาบาล และวัสดุสารเคมีจากโรงงาน เป็นต้น
6.วัสดุที่ยังมีสภาพดี เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กล่องกระดาษ ขวดที่ไม่แตก ขยะมูลฝอยประเภทนี้อาจนำไปขายต่อได้

อาชีพคนเก็บขยะ (Waste Pickers) เป็นอาชีพของแรงงานนอกระบบที่ยืนหยัดควบคู่กับการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ต่างๆ ทั่วโลกมาโดยตลอด ธนาคารโลกประมาณการไว้ว่า ประชากรโลกจำนวน 1% ในประเทศกำลังพัฒนามีรายได้เพื่อการยังชีพจากอาชีพเก็บขยะ ในประเทศไทยอาชีพเก็บขยะหล่อเลี้ยงชีวิตคนยากจนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก (มีรายได้ต่ำสุดวันละ 51 บาท สูงสุด 200 บาท โดยเฉลี่ยแล้วมีรายได้ระหว่าง 51-100 บาทต่อวัน)

คนเก็บขยะสะท้อนว่า งานเก็บขยะเป็นงานที่ไม่ต้องลงทุน เป็นงานที่ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่มีใครมากำหนดปริมาณงานให้รำคาญใจ คน เก็บขยะที่ทำอาชีพนี้มานานกว่า 5 ปี จำนวน 4 ใน 5 คน บอกว่า พวกเขามีความสุขกับอาชีพเก็บขยะ บางครอบครัวอาชีพนี้ถือเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นทีเดียว ด้วยความที่เป็นแรงงานนอกระบบ คนเก็บขยะจึงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการทางสังคมเมื่อเทียบกับอาชีพ งานวิจัยของ ศิริศักดิ์ สุนทรไชย และคณะ (2546) พบว่าก่อนจะมาประกอบอาชีพเก็บขยะ พวกเขาเคยเป็นชาวนา คนสวน คนงานก่อสร้าง พนักงานขับรถ คนงานโรงงาน และลูกจ้างทั่วไปมาก่อน แต่เพราะความยากจน ไม่มีงานทำ และระดับการศึกษาไม่สูง พวกเขาจึงผันตัวเองมาเก็บขยะจากการชักชวนของเพื่อนหรือญาติพี่น้อง

บาง คนมาเก็บขยะชั่วคราว และประกอบอาชีพอื่นควบคู่ด้วย ขณะที่บางส่วนหันมาประกอบอาชีพเก็บขยะเพียงอย่างเดียว คนเก็บขยะมีอายุระหว่าง 10-66 ปี ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 31-40 ปี ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยคือวันละ 6-10 ชั่วโมง ส่วนขยะมูลฝอยที่พวกเขาเก็บครอบคลุมเกือบทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่วัสดุอันตราย เช่น อุปกรณ์หรือเครื่องมือแพทย์จากโรงพยาบาล ภาชนะบรรจุยาฆ่าแมลง ถุงยางอนามัย ผ้าอนามัย โลหะ เศษอาหาร ซากสัตว์ เศษไม้ แก้ว หรือลูกกระสุนปืน เป็นต้น หลังจากคัดแยกหมวดหมู่ขยะมูลฝอยแล้ว คนเก็บขยะก็จะนำไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าหรือโรงงานขยะ

ขยะมูลฝอยที่ขายแบ่งออกเป็น 6 ประเภท (มูลนิธิเพื่อแรงงานหญิง, 2552) ได้แก่
1.วัสดุ ประเภทกระดาษทุกชนิด 
2.โลหะจากงานก่อสร้าง 
3.วัสดุที่ทำจากพลาสติก 
4.ขวดแก้ว 
5.วัสดุที่ทำด้วยอะลูมิเนียม
6.วัสดุที่ทำจากทองแดง

จาก ที่กล่าวไปข้างต้นผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า คนเก็บขยะประกอบอาชีพที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง แลกกับมูลค่าการยังชีพเพียงเล็กน้อย หากไม่มีคนกลุ่มนี้สังคมเมืองคงประสบความยากลำบากในการจัดการขยะมูลฝอยยิ่ง ขึ้น เพราะลำพังเจ้าหน้าที่จากทางราชการที่ทำหน้าที่ขนส่งขยะมูลฝอยไปกำจัดนั้น ไม่เพียงพอในการคัดแยกและนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่

ฉะนั้น คน เก็บขยะจึงเป็นฟันเฟืองเสริม หรือผู้ย่อยสลายเมื่อเปรียบเทียบกับระบบห่วงโซ่อาหาร ที่เข้ามาทำหน้าที่จัดการคัดแยกขยะมูลฝอยปริมาณมหาศาล ให้เหลือส่วนที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้จริงๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการกำจัดขยะมูลฝอยของทางราชการต่อไป เมื่อ เราตระหนักซึ่งคุณค่าในการทำงานของคนเก็บขยะ ความจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงเป็นลำดับต่อไปเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพนี้ คือ การคุ้มครองสิทธิของคนเก็บขยะเพื่อให้พวกเขาได้รับสิทธิประโยชน์ทางสังคมจาก การทำงานเลี้ยงชีพ

ขณะเดียวกันพวกเขาก็กำลังรับใช้สังคมโดยการเป็น กลไกสำคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) เมื่อเราทราบข้อเท็จจริงดังนี้แล้ว ผู้ที่เคยคิดดูถูกหรือเดินหนีห่างคนเก็บขยะด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของพวก เขา อาจจะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและส่งยิ้มให้กับผู้ประกอบอาชีพนี้มากขึ้น เป็นการตอบแทนในฐานะที่ต้องเข้ามาแบกรับภาระการจัดการสิ่งหลงเหลือจากการ บริโภคอย่างสะดวกสบายอย่างปราศจากการยั้งคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม

ที่มา http://www.posttoday.com/

เมื่อตกงาน

�เมื่ออายุ 25 ปี ผมเริ่มทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านจัดเลี้ยงและสันทนาการ แกรนด์ เมโทรโพลิตัน� ไซมอน ลอรี อดีตผู้จัดการโรงแรมและผู้ฝึกอบรมจากบริษัทเกรต มิสเซนเดนในบักกิงแฮมเชียร์ กล่าว �ผมเดินทางไปทั่วโลก ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะไปทำงานที่อื่น แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มส่งผลกระทบ บริษัทก็มองว่างานด้านที่ผมทำไม่สำคัญอีกต่อไป� หลังจาก 17 ปีที่เขาทำงานมา แกรนด์ เมโทรโพลิตันปลดเขาออกจากงาน เขารู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งสูญเสียญาติหรือเพื่อนสนิท

�ผมได้รับการ ปฏิบัติด้วยดี� เขาเล่า �แต่ยังรู้สึกเสียใจ ทำใจไม่ได้ หลังวันที่ผมออกจากงานแล้ว ผมยังกลับไปที่สำนักงานเพื่อเก็บโต๊ะและอยู่ที่นั่นจนถึง 21.00 น. โทรศัพท์ดังขึ้น แฟนผมโทรฯมา เธอบอกว่าไซมอน คุณไม่ได้ทำงานให้บริษัทนั้นอีกแล้วนะ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เก็บกระเป๋าเอกสาร และกลับบ้านเถอะ�

ปฏิกิริยาของไซมอนไม่ใช่เรื่อง แปลกประหลาดเลย คำที่ว่า �ใจสลาย� หรือ �อกหัก� มักถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายถึงความรู้สึกเมื่อถูกออกจากงาน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทั้งชายและหญิงที่ผ่านประสบการณ์นี้บอกว่าพวกเขารู้สึกโกรธ เครียด พวกเขาต่างบอกว่ามีอาการนอนไม่หลับและฟูมฟาย รู้สึกหมดหวัง บางครั้งก็อับอายและกลัวว่าจะไม่ได้กลับไปทำงานอีก อาจสูญเสียบ้านหรือไม่สามารถส่งเสียให้ลูกๆได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

แต่ ไซมอนไม่ได้ตกงานเมื่อเร็วๆนี้ เขาถูกปลดออกจากงานตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งที่แล้ว ในปี 2535 วันนี้ เขาอายุ 58 ปี มีอาชีพอิสระ เป็นโคชและผู้ฝึกสอนระดับบริหาร เขาไม่เพียงรักในสิ่งที่ทำ แต่ยังมีรายได้มากกว่าที่เคยคาดคิด แต่เมื่อ 16 ปีก่อน เขาไม่มีวันนึกฝันมาก่อนว่าจะทำงานของตัวเอง การถูกปลดออกจากงานอาจทำให้รู้สึกมีบาดแผลในใจ แต่เป็นตัวกระตุ้นให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่าประมาท แรงกดดันทางเศรษฐกิจหมายความว่าพวกเราล้วนเผชิญความเสี่ยงที่จะตกงานได้ทั้ง นั้น �จำนวนผู้มาติดต่อศูนย์ช่วยเหลือผู้ตกงานสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา� เจเน็ต เดวีส์ ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการเว็บไซต์เครือข่ายชีวิตใหม่ และผู้เขียนหนังสือชื่อ (เอน) การสร้างชีวิตขึ้นใหม่หลังออกจากงาน(เลิกเอน) เผย �คำแนะนำของฉันคือ ผู้คนทุกวันนี้จะต้องเริ่มจัดการกับชีวิตการงานของตนเองเสมือนหนึ่งว่าสัก วันอาจต้องตกงานและหันไปทำอย่างอื่นแทน ค่อนข้างคล้ายกับเรียนรู้ที่จะนำตัวเองกลับคืนมาใช้ใหม่�

ข่าวดีคือ ทัศนคติเกี่ยวกับการถูกปลดออกจากงานเปลี่ยนไปแล้ว �ที่แน่ๆคือไม่มีความรู้สึกเป็นมลทินติดมาด้วยเหมือนเมื่อช่วง 20 ปีก่อน� เจมส์ อันเดอร์เฮย์ ผู้อำนวยการด้านพาณิชย์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลชิวเมนโตใน ออกซ์ฟอร์ด ให้ความเห็น �เพราะผู้คนคุ้นเคยกับการเปลี่ยนย้ายงานกันแล้ว สมัยก่อนคนมักทำงานที่เดียวตลอดชีวิต ตอนนี้ เรามีแนวโน้มเปลี่ยนงานกันทุกสองถึงห้าปี นอกจากนี้เรายังฉลาดเฉลียว รู้จักเอาตัวรอด และพึ่งตนเองมากขึ้น�

จริงๆแล้วการถูกปลดออกจากงาน ช่วยให้คนพลิกชีวิตตนเองขึ้นมาได้ �มันเป็นโอกาส� อันเดอร์เฮย์เล่าว่า �ผมรู้จักผู้อำนวยการด้านการเงินที่เกลียดงานที่ตัวเองทำอย่างมาก และใช้การถูกปลดออกจากงานนี้เพื่อปรับและเปลี่ยนเส้นทางอาชีพ เป็นเวลาที่คุณสามารถมองหาทิศทางใหม่ หรือตามฝัน หรือความสนใจที่คุณพัฒนามันขึ้นมา�

ดูโรบิน โจนส์ เป็นตัวอย่าง หลายปีก่อนหลังผู้ให้บริการจัดเลี้ยงวัย 46 ถูกปลดออกจากงานในบริษัทก่อสร้างใหญ่แห่งหนึ่ง เธอส่งจดหมายขอบคุณอดีตผู้บังคับบัญชา �ฉันขอบคุณเขา� เธอเล่าว่า �เพราะเนื่องจากแรงผลักดันของการถูกปลดออกจากงานที่ทำให้ฉันเริ่มธุรกิจจัด เลี้ยงของตัวเองขึ้น ไม่ใช่เพราะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ฉันลองไปทำงานตำแหน่งอื่นๆ แต่ไม่รู้สึกกระตือรือร้นอยากทำ ดังนั้น สามีจึงเสนอให้เริ่มธุรกิจของตัวเองขึ้น ฉันใช้ห้องว่างในบ้าน โทรศัพท์ไปหาลูกค้าโดยไม่รู้จักมาก่อน จนกระทั่งได้งานรับจ้างรายแรกจากกลุ่มสุนัขนำทางสำหรับคนตาบอด�

สิบ เจ็ดปีต่อมา ธุรกิจของโรบินชื่อชาลสตัน เฮาส์ มีมูลค่าราว 2,800 ล้านบาท ในปี 2549 เธอได้รับเลือกเป็นสตรีดีเด่นด้านธุรกิจของธนาคารเครดิตสวิสและชนะรางวัลผู้ ให้บริการจัดเลี้ยงอาหารแห่งปี

แล้วอะไรเล่าคือความลับสู่การสร้าง ความสำเร็จของชีวิตหลังต้องก้าวถอยหลังเพราะถูกปลดออกจากงาน �รู้ทักษะของตัวเองคือก้าวแรก� จิล ดีน ที่ปรึกษาด้านอาชีพ อธิบาย �ไม่ว่าคุณจะอยากหางานใหม่ให้เร็วแค่ไหน หรือใช้การถูกออกจากงานเป็นโอกาสเพื่อทำสิ่งที่แตกต่าง คุณอาจคิดว่าตัวเองเป็นนักสื่อสารที่ดีหรือมีทักษะด้านไอทียอดเยี่ยม แต่คุณจำเป็นต้องสามารถอธิบายให้เจ้านายในอนาคตเข้าใจให้ได้ว่าทักษะเหล่า นั้นจริงๆแล้วมีความหมายอย่างไร จากนั้น คุณต้องเขียนประวัติและหัดส่งใบสมัครผ่านระบบอินเทอร์เน็ตให้คล่อง รวมทั้งฝึกปรือทักษะการสัมภาษณ์�

เธอเชื่อว่า การสร้างเครือข่ายมีความสำคัญ �อย่าเสียอารมณ์กับคำพูดหรือภาพที่จืดชืดของงานเลี้ยงบริษัทซึ่งไม่มีใคร สนใจในตัวคุณ ให้คิดเสมือนว่านี่เป็นกระบวนการวิจัยที่คุณกำลังแยกแยะบุคคลประเภทต่างๆที่ คุณพบ ตั้งแต่ครอบครัว เพื่อน ไปจนถึงคนเฝ้าประตูโรงเรียนและอดีตเพื่อนร่วมงาน แต่ละคนอาจให้อะไรคุณได้บ้าง�

วิธีการนี้ใช้ได้ผลดีกับเทรซี โบลส์ แม่ลูกสามวัย 46 จากเคนต์ เธอยังไม่เคยได้งานเป็นชิ้นเป็นอันเลยตั้งแต่ถูกปลดออกจากงานเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเธอมีรายได้ปีละ 1,750,000 บาทจากบริษัทสก็อตติช วิโดวส์ แต่ตอนนี้ เธอมีรายได้มากกว่าเดิมขณะชั่วโมงการทำงานน้อยลง

�ตอนฉันยังรองานอยู่ ฉันพบคนที่เคยรู้จักที่สถานออกกำลัง เขาบอกฉันเกี่ยวกับงานให้คำปรึกษาเรื่องสินเชื่อบ้าน� เธอบอกว่า �ฉันตัดสินใจลองดูและเริ่มเข้าฝึกอบรม ขณะเดียวกัน สก็อตติช วิโดวส์เสนองานให้เธอเป็นลูกจ้างภายนอก ฉันไปพบที่ปรึกษาที่แฟร์เพลซซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านหางานในกรุงลอนดอน เพื่อขอคำแนะนำ วันรุ่งขึ้น เธอโทรศัพท์มาหาฉันและเสนองานให้เป็นพนักงานของบริษัท ฉันตอบรับทันที�

�ดังนั้น ตอนนี้ ฉันทำงานที่แฟร์เพลซสองวันต่อสัปดาห์ และใช้อีกสามวันที่เหลือสำหรับธุรกิจสินเชื่อบ้าน�

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ตก งาน ถ้าคุณรู้สึกว่าเวลาของตัวเองใกล้หมดลงแล้วในงานปัจจุบัน อย่ากลัวที่จะเสนอทางเลือกอื่น เช่น ตัดเงินเดือนแทนได้ไหม หรือลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน เปลี่ยนย้ายตำแหน่งงานพอจะเป็นทางเลือกได้ไหม ฉันทำงานเป็นที่ปรึกษาได้ไหม

แกรี เบอร์นิสัน จาก คอร์น/เฟอร์รี อินเตอร์เนชันแนล

ถ้าคุณเอาชนะความกลัวในการบอกผู้คนได้ว่าคุณกำลังตกงาน คุณจะประสบความสำเร็จในการหางานใหม่ได้มากกว่า

จอห์น ชาเลนเจอร์ จาก เกรย์&คริสต์มาส

หางานชั่วคราวทำ อาจนำไปสู่โอกาสได้งานเต็มเวลา

ไมเคิล เวิร์ตทิงตัน, Resumedoctor.com

งาน อาสาสมัครช่วยให้เรากำหนดเวลาในการทำงานได้และช่วยให้คุณไม่ต้องอยู่คนเดียว นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้สร้างเครือข่ายต่างๆได้มากขึ้น แต่ไม่ควรใช้แทนที่การหางาน

เอมิลี เวสเตอร์แมน มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ประวัติ ย่อของคุณ ประกาศโฆษณารับสมัครงานเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ ส่วนประวัติย่อเป็นเรื่องของเมื่อวันวาน เขียนประวัติย่อของคุณให้เน้นในเรื่องของอนาคต ถามตัวเองว่าจะทุ่มเทชีวิตกับสิ่งที่นายจ้างมองหาได้อย่างซื่อสัตย์ มีจรรยาบรรณ และเป็นมืออาชีพได้อย่างไร

พอล แมตทิวส์ จากไฮร์ แอสไปเรชันส์

อย่า ใช้บรรดาคำพูดที่ฟังจำเจ เช่น เป็นสมาชิกที่ดีของทีม เป็นนักแก้ปัญหา มีแรงบันดาลใจในตัวเอง คุณไม่ได้บอกอะไรใหม่กับผมเลย พูดให้เฉพาะเจาะจง พูดในเรื่องที่เป็นผลงานของคุณ ไม่ใช่พูดในเรื่องหน้าที่

ไมเคิล เวิร์ตทิงตัน

ใช้ ขนาดอักษรพิมพ์อย่างน้อย 11 พอยต์ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ไม่ต้องใช้ภาพประกอบ อย่าใช้ตัวหนาหรือประเด็นหัวข้อเป็นย่อหน้าสั้นๆ ให้ส่งใบสมัครเป็นส่วนหนึ่งของอีเมล อย่าใช้การแนบไฟล์

ปีเตอร์ จากเวดเดิลส์ คอนซัลแทนต์

อ่านคำบรรยายลักษณะของงานและใช้คำพูดแบบเดียวกัน ถ้าโฆษณารับสมัครงานระบุว่า �ผู้ฝึก� อย่าเขียนว่า

ผู้สอน

อนิตา แอตทริดจ์ จาก เดอะไฟฟ์ โอ คล็อก คลับ

การสัมภาษณ์ ซ้อมตอบคำถามที่ว่า �เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังหน่อย� พูดให้ครอบคลุมถึงประสบการณ์ ทักษะ ความสามารถ และการศึกษาของคุณ

เบตตินา ซิดแมน จาก ไซด์เบต แอสโซซิเอทส์

แต่งตัวให้เหมือนอยู่ในปี 2552 ร่างคำถามที่คุณต้องการถามไว้ แต่อย่าถามในสิ่งที่คุณหาข้อมูลได้จากในเว็บไซต์

อีเลน วาเรลาส จาก คีย์สโตน พาร์ตเนอร์ส

ฝึก ซ้อมหน้ากระจกหรือกับเพื่อน คนฉลาดที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากคิดว่าพวกเขาสามารถไปได้โดยไม่ต้องเตรียม ตัว แต่คนที่ประมาทแบบนั้นมักพลาดในตอนจบ

สตีเวน โรเซน จาก ซีเลีย พอล แอสโซซิเอทส์

วิกฤตที่อาจเป็นโอกาสให้คุณค้นพบศักยภาพที่แท้จริงในตัวเองโดย โดย โคลเอ ไบรอัน-บราวน์

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

รายการบล็อกของฉัน